As I’ve told you..’In this big blue planet’ there are full of wonders and unexpected.
So why you’ve try to see it though the eyes of someone else.
won’t you go to see it on yourself. make your own life.
just start living I mean real living. If not now, When?
ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นของการเดินทาง คงต้องย้อนกลับไปไกลหน่อย เราได้ยินชื่อ ‘ไอซ์แลนด์’ มานานมาก ตั้งแต่สมัยยังเด็ก ในความคิดตอนนั้น มันคงเป็นเมืองแห่งน้ำแข็งแน่ๆ อาจเพราะมันดูไกลตัวเรามาก ไกลจนเกินที่จะคิดว่าซักวันนึงเราจะไปยืนอยู่ตรงนั้นได้
ภาพไอซ์แลนด์ชัดขึ้นอีกครั้ง เมื่อตอนที่เค้าโผล่มาให้เห็นในเรื่อง The Secret of Walter Mitty วิวที่คุณมิตตี้ ไถเสก็ตบอร์ดลงมาจากภูเขาสีเขียวลูกใหญ่ มันจุดประกายความอยากรู้จักไอซ์แลนด์ขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราเริ่มเซฟเอาภาพไอซ์แลนด์มาเก็บไว้ และมันก็เริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเสียงจากเพื่อนสนิทก็พูดขึ้นมาว่า ‘ไปไอซ์แลนด์กัน !’ และเราก็ตอบตกลงไปโดยไม่ทันคิดอะไร ทั้งที่ไม่มีความพร้อมในทุกๆ ด้านเลย มันเหมือนกับถูกความฝันส่วนนึง พยายามดึงเราไป ให้ไปพบกับสถานที่ที่รอคอยเราอยู่ เราเริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้มากขึ้น วางแผนเตรียมตัว จนถึงวันที่เราออกเดินทาง
วินาทีแรกที่เท้าของเราก้าวออกจากตัวเครื่อง ลมแรงและเม็ดฝนก็ผ่านเข้ามาปะทะที่ตัวอย่างจัง เสมือนกับเป็นคำทักทายคำแรก จากดินแดนแห่งดาวอังคาร
แพลนการเดินทางของเราทั้งหมดคือ
Day 1 Bruarfoss – Gullfoss – Ljotipollur – Landmannalaugar
Day 2 start trekking – finish trekking
Day 3 Seljafoss – Skogafoss – Wreck airplane – Vik Black sand
Day 4 Myrdalssandur – Fjadrarglijufur – Svartifoss
Day 5 Jokulsalon+black sand – Vestrahorn
Day 6 Hengifoss – Dettifoss – Godafoss
Day 7 Hvitserkur Kirkjufell
Day 8 Ferry to Brjanslaekur – Látrabjarg – Puffin
Day 9 Kirkjufell – Grundarfjord
Day 10 londrangar – Reykjavik
Day 11 Reykjavik – blue lagoon
ตลอดทริป การเดินทางของเราจะเป็นแบบ Road trip นั่นคือการขับรอบเกาะไอซ์แลนด์
ด้วยความที่ไอซ์แลนด์มีการเดินทางเป็นวงกลม และถนนที่แยกออกนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่มักจะเป็นเส้นหลักเส้นเดียว
หลายคนที่ได้มาเที่ยวที่นี่ ถ้ามีเวลามากหน่อยก็จะทำแบบที่เราทำ แต่ถ้ามีเวลาน้อยหน่อยก็สามารถท่องเที่ยวในเส้นทาง Golden circle route ได้ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน และได้ไปแหล่งที่สำคัญๆใน Iceland ครบพอสมควร
แต่เรา ไม่ ! เมื่อมาทั้งทีก็ต้องเที่ยวให้รอบ เที่ยวซัมเมอร์ซะด้วย กลางคืนก็ไม่มี เที่ยวให้คุ้มเลย แล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้นทันที หลังจากที่เรารับรถมาเพื่อใช้ในทริปครั้งนี้
ข้อมูลที่จำเป็น เลื่อนลงไปได้ข้างล่างสุดเลยนะคะ
เราขับไปตามเส้นทางเรื่อย ๆ ผ่านเมืองหลวงที่ชื่อว่า Rekjyavik ความรู้สึกเหมือนเส้นทางต่างจังหวัดของบ้านเรานั่นเอง จนเราเริ่มออกจากเขต Rekjyavik ข้างทางเริ่มพบเห็นม้าและแกะมากขึ้น จนถึงที่พักก็เริ่มการทำอาหารเองมื้อแรก เราก็ได้พักผ่อนกันอีกทีตอนเที่ยงคืนเลย ซึ่งฟ้าก็ยังสว่างจ้าอยู่เลย
Day 1
Bruarfoss – Gullfoss – Ljotipollur – Landmannalaugar
เช้าวันแรกที่ไอซแลนด์ หนาวกว่าที่คิดไว้ เสื้อกันหนาวที่คิดว่า น่าจะมากพอแล้ว สุดท้ายก็ไม่พอ จุดหมายปลายทางแรกของเราอยู่ที่น้ำตก Burafoss อยู่ห่างออกไปพอสมควร เราเดินทางมาถึงน้ำตกแห่งนี้ด้วยการเปิด GPS แต่การจะไปให้ถึงน้ำตกนั้นจะต้องเดินเท้าเล็กน้อย มีเซอไพรซ์ตรงป้ายบอกทางนิดหน่อย แต่ไม่บอกดีกว่าว่าคืออะไร ไว้ใครอยากรู้ให้ไปไอซ์แลนด์เอง ฮ่าๆ
ใช้เวลาพักใหญ่เราก็เดินมาจนเจอเข้ากับน้ำตก ครั้งแรกที่เห็นคือ โอ้อออออออ สวยมาก สวยจนไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงเลย ธารน้ำสีฟ้าอ่อน เกิดจากน้ำแข็งบนภูเขาที่ละลายมารวมกัน สีฟ้าของมันตัดกันได้ดีกับหินสีดำ ถ่ายรูปยังไงก็ออกมาไม่สวยเท่าของจริง สำหรับการเริ่มต้นในไอซ์แลนด์ด้วยการมาพบกับน้ำตกนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วจริงๆ แต่อย่าลืม เรามีอีกสองอาทิตย์ที่เหลืออยู่ และมันน่าจะพีคขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อจุดหมายปลายทางถัดไป คือน้ำตก Gurafoss เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก อาจเพราะที่นี่มีนักท่องเที่ยวเยอะมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ พอถ่ายรูปเสร็จ เราจึงเลือกจะเดินทางต่อทันที เพราะเรามีจุดหมายปลายทางที่สำคัญกว่านั้นมาก นั่นคือการไปนอนกางเต็นท์ เดินเทรคกิ้ง ที่ Landmannalaugar
น้ำตกนี้ใหญ่มาก และเราถ่ายไม่สวยจริงๆ เลยเลือกจะไม่ลงรูปดีกว่า
เราเดินทางต่อไปที่ Landmannalaugar ตามแพลนเดิมนั้นจะใช้เวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมง ซึ่งเส้นทางเข้าแลนด์จะเป็น OFF ROAD ระหว่างทางเราก็เจอแกะเรื่อยๆ ไกลแค่ไหนก็เจอ แต่ที่งงคือทำไมเค้าชอบอยู่กันแก๊งละสามตัว ไม่เกินนี้
เส้นทางไป landmannalaugar นั้น เป็นทางออฟโรด ส่วนเรานั้นไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าออฟโรดที่ไอซแลนด์จะเป็นยังไงบ้าง จะโหดหรือยากเย็นขนาดไหน แต่ท้ายสุดทางออฟโรดนี้เราก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี ถ้าใครจะขับรถเข้าแลนด์แมนน่าจะต้องมีประสบการณ์การขับรถที่ดีพอสมควรเลย เพราะทางค่อนข้างยาก บางจุดมีน้ำ บางช่วงของเส้นทางก็เป็นหินทั้งเส้น ต้องอาศัยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในบางครั้ง แต่วิวทั้งสองข้างทางคือ สุดยอดมากๆๆ มากจริงๆ ปวดตูดมาก ระหว่างทาง แต่มีวิวสวยๆคอยปลอบใจ ลืมเรื่องปวดตูดไปเลย ฮ่าๆ
เวลาผ่านไปประมาณ 6 ชั่วโมง กำหนดการเดิมที่จะต้องถึงคือ 4 ชั่วโมง บวกกับในบางช่วงที่เราแวะเพื่อลงไปถ่ายภาพก็ทำให้เรากินเวลาไปมากเลยทีเดียว กว่าจะถึงที่นั่นก็เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มได้ แต่เราไม่รู้ตัวเลยนะ เพราะท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่มากๆ
ตามเดิมเราจะเดินเทรคกิ้งกันในวันนี้ แต่เพราะเราถึงดึก เราจึงตัดสินใจรีบเตรียมตัวพักผ่อน เพื่อเดินขึ้นเขา ในเวลาตี5ของวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นห่วงเพราะที่นี่ ตี3 ท้องฟ้าก็จะสว่างมากคล้าย 7โมงบ้านเรา ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความมืดอีกต่อไป
Day 2
start trekking – finish trekking
เราตื่นตี 5 ด้วยความทรมาน มากกก เมื่อคืนตั้งใจว่าจะกางเต็นท์นอน แต่ด้วยค่ากางเต็นท์ที่แพงมาก บวกกับอากาศหนาวจนเกือบติดลบ ผสมกับลมที่พัดแรงมาก ๆ ทำให้เราตัดสินใจนอนบนรถ คุดคู้อยู่อย่างนั้นและนึกในใจว่าเดี๋ยวก็ต้องตื่นแล้ว
ตื่นมาเราแทบยืนไม่ไหวคือมันหนาวมาก ถ้าใครจะมาให้ติดถุงนอนหนาๆและถุงมือ หมวก สารพัดที่จะกันหนาวเอามาให้หมด ขอถอนคำพูดที่เคยดูถูกซัมเมอร์ของไอซ์แลนด์ นาทีนี้เสื้อสี่ชั้นก็เอาไม่อยู่
จากนั้นเราก็เริ่มเช็คสภาพอากาศมองฟ้ามองฝน มันก็ยังหนาวมากๆอยู่ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เดินไปเรื่อยๆคงจะเริ่มร้อนเอง และสุดท้ายเราเลือกเดินรูทที่สั้นที่สุด ที่นี่จะไม่มีการกลับหลังนะ ถ้าไม่ไหวคือก็ต้องไปต่อ ไม่มีให้เปลี่ยนใจ เพราะเส้นทางเทรคกิ้งนี้แคบและชันมาก หากจะถามว่าเราพร้อมมั้ยก็คือ ไม่เลยยย คนอื่นมีไม้และรองเท้าเดินเขา ส่วนเรามีแค่ตัวกับหัวใจอันกล้าแกร่งมากๆ มีแค่นี้แหละ 555 แต่ก็สู้นะ เดินไปเรื่อยๆ แล้วก็เจอวิวที่แบบ น้ำตาไหลล คุ้มมาก ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่เร้าหรือ ว่าให้ขึ้นไปกันเถอะ ไม่งั้นเราคงไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้แน่เลย
แล้วเราก็ออกจากแลนด์แมนด้วยความเหนื่อยล้า น้ำตกที่จะต้องไปวันนี้ก็แคนเซินและเลื่อนไปวันอื่นแทน
Day 3
Seljafoss – Skogafoss – Wreck airplane – Vik Black sand
นัดกันไว้ว่าจะออกจากโรงแรม ตี3 แปลว่าเราจะต้องตื่นตอนตีสอง แต่เราก็ทำเรื่องจนได้ ตื่นตีสามตามเวลาออก รู้สึกผิดมากเลยเพื่อนๆ อดเห็นท้องฟ้าอันสดใส น้ำตกที่นี่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมาก เหมือนเป็นจุดเช็คอิน แต่เรามากันเช้ามากเลยไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน เราก็ลุยถ่ายรูปกันไป ทั้งหนาวและง่วง น้ำที่สาดเข้ามาอีก ทำเอาแทบตายเลย ใช้เวลาไม่นานเราก็เดินทางต่อไปอีกน้ำตกที่อยู่ใกล้เคียง อยู่ไม่ไกลกันมาก ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่น้ำตกเยอะค่ะ และใหญ่มากด้วย เป็นสเกลแบบ ไดโนเสาร์อาศัยอะ ไม่น่าใช่คน ที่น่ารักคือเมืองนี้จะมีบ้านเหมือนเป็นอุโมงค์หลายจุดเลย ไว้ให้แกะอยู่ ซึ่งเราสามารถจอดรถลงไปถ่ายรูปได้ตลอดทาง
มีอีกสถานที่นึงที่เราอยากไปมาก ๆ ตอนที่เราได้เห็นรูปของเว็บไซต์ต่างๆ นั่นคือซากเครื่องบินที่ตกเมื่อปี 1973 มันดูเหมือนไม่มีอะไรแต่เราก็ชอบในความที่มันไม่มีอะไรนี่หละ ปัญหาเล็กๆอยู่ที่ว่า เราต้องเดินเท้าเข้าไปในนั้นเป็นระยะทาง 4km ไกล ไกลมาก ไกลและลมแรงมากเพราะเป็นพื้นที่ว่าง ไม่มีต้นไม้หรืออะไรเลย เราเดินไปก็แทบเหนื่อยหอบ ต้องเดินกลับอีก รวมระยะทาง 8 กิโลเมตรเพื่อสิ่งนี้ ประทับใจนะชอบในความเวิ้งว้าง คล้ายยานตกบนดาวอังคาร ใครจะมาเตรียมร่างกายให้พร้อมเลย เพราะมันเดินไกลและหนาวมากจริงๆ
เราเดินทางกันต่อไปที่ Vik ณ ตอนนั้นฝนเริ่มตกหนัก อากาศน่าจะประมาณ 4-5 องศา บวกกับลมที่พัดแรงมากๆมันทำให้รู้สึกเหมือนกับอากาศติดลบเลย เราเดินทางมาถึงวิค ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารัก ในตอนนั้นเราคิดว่าเราคงลงไปเดินไม่ได้เนื่องจากติดฝน ซึ่งมันทำให้เราอดเดินชมเมือง แต่เราก็จะสู้ เดินไปด้านหลังที่เป็นชายหาดสีดำ ฝ่าฝนและความหนาวเดินไปจนถึงจนได้
ตอนเด็กๆ เราเคยคิดว่าหาดสีดำเป็นอะไรที่แปลกมาก มันน่ากลัว มีสเน่ห์ และดึงดูดในเวลาเดียวกัน แล้ววันนี้เราก็ได้มาที่นี่จนได้ เม็ดทรายละเอียด ฟองน้ำสีขาวตัดกับทรายสีดำ สวยมาก แต่ตอนนี้ฝนเองก็ตกหนักมากเช่นกัน เราจึงต้องรีบเข้าไปหลบฝนใน Coffee shop น่าเสียดายที่เราใช้เวลากับที่นี่ได้น้อยมาก ได้แต่คิดว่าไม่เป็นไร มีเวลาอีกเยอะ ปลอบใจตัวเองไว้ 55
ปล เราเริ่มเข้าเขตฝั่งใต้ของไอซ์แลนด์ ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนมาก ใน 1 วันมีโอกาสได้เจอกับหลายฤดู แต่ส่วนใหญ่สภาพอากาศทางใต้นี้จะเป็นหนาวและฝนตลอดเวลา ไม่ใช่ฝนที่ตกแรงๆแต่เป็นฝนตกปรอยๆทั้งวัน ซึ่งมันก็อยู่ในระดับที่ทำให้ออกไปข้างนอกไม่ได้เหมือนกัน
Day4
Mossy – Myrdalssandur – Fjadrarglijufur – Svartifoss
วันนี้จริงๆแล้วเราแก้ตัวจากเมือง Vik เมื่อวาน แต่ด้วยสภาพร่างกาย ณ ขณะนั้นของเราไม่ไหวจริงๆ เลยขอนอนบนรถ มีบางครั้งที่เราแวะลงมาถ่ายรูปนิดหน่อย แต่ด้วยหมอกที่หนามาก กับอากาศที่หนาวมากๆๆจริงๆ ลงไป 5นาที ยอมแพ้เลย
และเราก็ไปถึงที่ Mossy หรือ Moss coverd lava fields
Mossy คือทุ่งจากหินลาวา ที่มีมอสขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไปหมด กินพื้นที่เป็นบริเวณใหญ่มากก และที่ขึ้นอยู่เยอะมาก ในทุกๆที่คือมอสเขียวๆเย็นๆนุ่ม เราไม่ได้เดินออกไปไกลมาก เพราะไม่อยากเหยียบเค้า กลัวเค้าตาย แต่ก็ใช้มือจับไปบ้าง รู้สึกได้ถึงความนุ่มและหนาของมอสเลยล่ะ
จนมาถึง Myrdalssandur เราได้เห็นที่นี่ผ่าน MV I WILL SHOW YOU ของ JUSTIN ที่เพื่อนเปิดให้ดู ก็เกิดความตื่นเต้นอยากเห็นของจริง ครั้งนี้เราเดินขึ้นเขากันไม่ไกลมาก ประมาณโลครึ่ง ถ้าเทียบกับเมื่อวานคือจิ๊บๆไปเลย ที่นี่มีลักษณะที่แปลกตา เหมือนเป็นเหวยื่นๆออกมา และด้านล่างมีแม่น้ำไหลผ่าน รู้สึกว่าของจริงสวยกว่ามากเลย สิ่งที่ควรระวังและสังเกตคือการเดินออกไปตรงเหวนะคะ มันมีป้ายเขียนอยู่ว่าตรงไหนลื่น ตรงไหนเดินได้ ระวังกันด้วยถ้าใครจะไป
และที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ Svartifoss เป็นน้ำตกที่แปลกตามาก มีดีเทลของก้อนหินที่สวยงาม ค่อนข้างใช้เวลาในการเดินและเหนื่อยมาก มันไม่ได้ไกลเท่าไรแต่มันคือการเดินขึ้นเขาชัน ๆ แบบไม่มีท่าทีว่าจะมีทางราบเลย และวันนี้ดันใส่กระโปรงด้วย เลยมีความงานเข้านิดหน่อย ทั้งชันและเหนื่อย มีคนเดินวืดหลายคนนะ ถ้ายังไงมาไอซ์แลนด์ แนะนำว่าใส่กางเกงที่กระฉับกระเฉงน่าจะดีสุดค่ะ
วันนี้เราพักที่ HOFN เป็นเมืองท่าเล็กๆ ห้อมล้อมด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นมาก เราออกมาซื้อของใน Supermarket เพิ่ม เลยถือโอกาสเดินเล่นในเมืองนิดหน่อย เมืองไม่ใหญ่และค่อนข้างเงียบมาก เดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เกือบครบหมด วันนี้อากาศเย็นสบาย แถมเจอคนไทยด้วย ซึ่งโอกาสน้อยมากๆจะได้เจอ แต่ก็ไม่ได้ทักทายหรือคุยกันอยู่ดี 55
ที่ชอบอีกอย่างคือสีสันของบ้านที่ไอซ์แลนด์ มันน่ารัก ดูแมชและเข้ากันไปหมดเลย ชอบมาก
Day 5
Jokulsalon+black sand – Vestrahorn
Jokulsalon เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ตั้งใจมาเจอมาก เป็นที่ที่อยากเห็บกับตา ว่าน้ำแข็งพวกนี้ที่ตั้งอยู่บนหาดทรายจะเป็นยังไง เราเดินทางมาถึงที่นี่ในเวลาตีสามอีกเช่นเคย ลองหลับตาแล้วนึกภาพตามว่า เวลาตีสามที่ไม่มีผู้คนเลยบรรยากาศที่นิ่งสนิท ไอหมอกลอยคลุ้งอยู่เหนือน้ำซึ่งปกคลุมด้วยก้อนน้ำแข็งอยู่ประปราย อากาศที่เย็นและความเงียบเข้ามาทักทาย ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้เราทุกคนไร้เสียงพูดใดๆ มันสวยและรู้สึกเข้าไปในใจมาก สวยมากจริงๆ หมอกเริ่มลงหนา เราขอตัวแยกออกมาเดินคนเดียว คิดจะหาก้อนน้ำแข็งที่ถูกใจเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ ยิ่งเดินออกไปไกลเท่าไร ก็เหมือนก้อนน้ำแข็งจะเริ่มใหญ่ขึ้นและสวยขึ้นทุกที
ไม่นานเราก็เดินไปถึงอีกฝั่งนึงที่เป็นทะเล ฝั่งนี้จะมีก้อนน้ำแข็งอยู่ตลอดชายหาด หาดทรายที่นี่ก็เป็นสีดำอีกเช่นเคย หมอกบังสายตาเราไม่ให้เห็นเพื่อนที่อยู่ไกลออกไป แต่นาทีนั้นเหมือนเราโดนที่แห่งนี้ดูดไว้ เราถ่ายรูปจนน่าจะเกินเวลาที่กำหนด เงาของเพื่อนเริ่มชัดขึ้น ตอนแรกที่ใจหายก็เริ่มใจชื้นเพราะเพื่อนมาตาม ได้เวลาบอกลาชายหาดที่มีเสน่ห์แห่งนี้ รู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
เราเลือกกลับไปนอนพักที่โรงแรม พอสายๆเราก็เดินทางมาที่ Vestrahorn วันนี้ผิดหวังนิดหน่อยตรงที่หมอกลงหนามาก ทำให้เรามองไม่เห็นอะไรเลย ที่นี่เป็นอีกที่ที่เราอยากมามากๆ ถึงจะไม่เห็นวิวที่ต้องการแต่เราก็เลือกจะลงไปเดินเล่น ที่หมู่บ้านไวกิ้ง ที่นี่เป็น Private road หรือก็คือการจะเดินเข้าไปนั้น ต้องเสียค่าเข้านิดหน่อย ประมาณ 600 โครน ตกคนละไม่กี่บาท เราเดินกันไปจนถึงหมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้ ที่นี่นั้นไม่มีอะไรมากเป็นหมู่บ้านเก่าที่น่ารัก ปลูกหญ้าไว้บนหลังคา เป็นแหล่งประวัติศาสตรร์แห่งนึงสำหรับที่นี่
Day 6
Hengifoss – Dettifoss – Godafoss
จุดหมายแรกของวันนี้คือ Hengifoss เราต้องเทรคกันเล็กน้อย วันนี้มีท่าทีว่าฟ้าจะเปิด แล้วฟ้าก็เปิดจริงๆแต่เปิดมากไปหน่อย จากที่เคยหนาวทุกวัน วันนี้แทบจะถอดเสื้อแล้วใส่แค่เสื้อกล้ามเลยทีเดียว น่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในการมา iceland
ระยะทางไปกลับของน้ำตกนี้อยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง เราเดินไปได้เกือบถึงแล้วแหละ แต่มันไกลมากบวกกับหิวข้าวเลยใช้เลนส์ซูมถ่ายในระยะไกลๆ เพราะทางค่อนข้างชันด้วยและบวกกับความเหนื่อยสะสม เราเลยหยุดกันแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้เราได้ทดลองชิมน้ำจากน้ำตกที่เป็นธารไหลมาอีกครั้ง เริ่มจากเราหิวน้ำมากและไม่ได้เอาน้ำมาเลย พอถึงลำธารก็รีบวักขึ้นน้ำกิน สรุปว่ารสชาติดีมาก เหมือนน้ำแร่ และเย็นมาก พอเราเริ่มเพื่อนๆก็เริ่มเอาด้วย พอหลายๆคนดื่ม ฝรั่งก็เริ่มหยุดแล้วมาดื่มน้ำตกด้วยกัน ทำให้ที่ตรงนั้นเหมือนเป็นจุดพักไปโดยปริยาย
– Dettifoss – Godafoss
ตอนเราไปก็เกือบมืดแล้ว ถ่ายรูปน้ำตกมาไม่ค่อยเห็น แต่ที่นี่น้ำตกใหญ่มากจริงๆ อลังการมาก ลองเสิชชื่อดูได้เลย อ้อ แล้วเป็นเขตห้ามใช้โดรนด้วยนะ
Day 8
Hvitserkur Ferry to Brjanslaekur – Látrabjarg – Puffin
Hvitserkur คือหินรูปไดโนเสาร์ (เหมือนเหรอ) เถียงกับเพื่อนอยู่นานว่ามันเหมือนตรงไหน แต่เหมือนก็ได้นะ 55 เป็นหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางน้ำ วันที่เราไปน้ำแห้งพอดี แต่ก็ได้ภาพมาอีกมุมนึง เวิ้งว้างมากๆ เป็นอีกที่ที่ประทับใจเหมือนกัน คนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่มีอะไร แต่ทำไมเราชอบมากเลยสถานที่อะไรแบบนี้
ไฮไลท์อีกอย่างนึงในการมา iceland ครั้งนี้คือการ ไปดูนก puffin ซึ่ง puffin จะมาให้เห็นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น และยังมีจำนวนไม่มาก แต่สำหรับไอซ์แลนด์แล้วถือว่ามีนกชนิดนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มมากที่สุด จึงดึงดูดให้คนมาดู Puffin กันที่นี่ เราต้องข้ามเรือไปยังเกาะที่พัฟฟินอยู่ การเดินทางจะเสียค่าเฟอรี่ประมาณคนละ 3,660บาท (นั่งเรือพร้อมกับเอารถข้ามไปได้ด้วย) และใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง และขับรถต่อออกไปอีกครึ่งชั่วโมง
ช่วงที่เราไปเริ่มไม่มีนักท่องเที่ยวแล้วทำให้ได้จับจองตั้งกล้องถ่ายรูปกันอย่างสะดวกสบาย แล้วเราก็เจอกับคุณพัฟฟิน ตอนแรกคิดว่าจะตัวใหญ่กว่านี้หน่อย พัฟฟินมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่สีสวยมาก และอยู่นิ่งมากๆ ถ่ายรูปได้สบายๆเลย ซึ่ง ณ จุดนั้นจะมีเขตที่ห้ามเกินออกไป เพราะพัฟฟินอาศัยอยู่ตรงหน้าผา อาจจะพลัดตกลงไปได้ ต้องระวังตรงนี้ด้วย และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจมาก เพราะพัฟฟินน่ารักมากจริงๆ
บทสรุปของวันเรากลับมายังที่พัก ทำธุระต่างๆ เรียบร้อยก็เป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าๆพอดี เราเดินออกมาพบกับแสงสีส้มจ้ามาก ดูนาฬิกาก็ได้เวลาเกือบเที่ยงคืน เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ในเวลาเที่ยงคืนพอดี
แสงสวยมาก รู้สึกว่าจะสว่างกว่าการมองพระอาทิตย์ตกครั้งไหนๆ เพราะนี่คือ The midnight sun
ฃ
Day 9
Kirkjufell – Grundarfjord
วันนี้เราเดินทางกลับมาจากที่ไปดูพัฟฟิน กลับมาที่เมืองเดิม แต่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกที่นึงของไอซ์แลนด์ นั่นคือ Grundarfjord หรือภูเขาที่มีรูปร่างคล้ายหมวกแม่มดนั่นเอง ระหว่างที่รอเวลา เพราะเราจะไปถ่ายรูปช่วงที่พระอาทิตย์ตก เราเลยเดินเล่นในเมืองไปก่อน ซึ่งเราพบว่า ที่นี่เงียบสงบมาก ไม่เจอคนเลย เจอแมวอยู่สองตัว
แล้วเราก็มาถึงที่นี่ ต้องใช้การเดินเท้าเข้ามา ไม่ไกลมาก จุดที่เราถ่ายรูปจะเป็นมุมที่ถ่ายผ่านน้ำตก ระยะที่เห็นคือเราค่อนข้างอยู่ไกลจากภูเขาลูกนั้นมาก แต่ถ้ามองแล้วมันถือว่าเป็นระยะที่พอดี และเห็นภูเขาลูกนั้นเป็นเหมือนรูปหมวกพอดี
คนรอถ่ายเยอะมาก เป็นตากล้องรุ่นใหญ่ทั้งนั้นเลย เราก็เก้ๆกังๆ ดูเด๋อไปเลย 55
Day 10
londrangar – Reykjavik
วันนี้เราเดินทางมาที่ londrangar พอเดินลงมาจากรถอย่างแรกเลยคือได้กลิ่นขี้นกชัดมาก เลยเดินมาเรื่อยๆ ชัดเลยยย หน้าผามีแต่นก ที่นี่เราไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี เพราะมันเป็นผาหินที่ทรงแปลกตา และมีนกอาศัยอยู่ ประทับใจเหมือนกันเพราะสีดำของหิน ตัดกันได้ดีกับน้ำทะเลสีฟ้า ออกมาสวยมากๆ
ใกล้จะเดินทางกลับบ้านแล้ว วันนี้เราเลยต้องเข้าไป rekjyavik เพราะเราเตรียมตัวจะไป Blue lagoon วันนี้เลยได้เดินเล่นในตัวเมืองนิดหน่อย แยกย้ายกันตามอัธยาศัย และที่นี่เราพึ่งจะได้เห็นผู้คนเยอะๆ หลังจากหลงไปอยู่ดาวไหนมาก็ไม่รู้ ช่วงเวลาที่เราไป เค้าอินโปเกมอนกันมาก เดินไปทางไหนก็เจอแต่คนสไลด์บอล 555
Rekjavik เป็นเมืองหลวงของ iceland เหมือนคนจะมากระจุกกันอยู่ที่นี่ ตึกยังสวยงามตามเดิม เดินเล่นไม่นานก็ได้เวลากลับ และที่นี่ Bus แพงมากกกก แต่ด้วยความที่เดินมาไกลมาก ก็ต้องยอมจ่ายอยู่ดี
Last day at Blue Lagoon
เราจัด Blue lagoon ไว้ท้ายสุด เพราะจะได้ถือเป็นการพักผ่อนก่อนกลับไทย ค่าเข้าตกอยู่ที่ประมาณคนละ 2,200 บาท ซึ่งเป็นแพคเกจแบบธรรมดา แต่ถ้าใครจะอัพเกรดให้มีพวกเครื่องดื่มและผ้าเช็ดตัวก็ได้นะ วันนี้คนที่บลูลากูนค่อนข้างเยอะพอสมควร เป็นบ่อน้ำอุ่นใหญ่มาก ท่ามกลางธรรมชาติ ให้ความรู้สึกแปลกๆดี และที่นี่ยังมีโคลนไว้พอกหน้าพอกตัว แต่ละคนก็สนุกกันใหญ่เลย สามารถเดินไปได้เรื่อยๆ จะมีโซนที่แจกที่ลอยตัวไว้ด้วย ควรระวังห้ามใช้เสียงดัง เพราะที่นี่เค้าถือความเป็นส่วนตัวและชิวมาก ว่าแล้วก็อยากกลับไปอีกเหมือนกันนะ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราต้องบอกลาไอซ์แลนด์ การเดินทางครั้งนี้ให้อะไรกับเรามากๆจริงๆ เราไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้ และใช้เวลาที่นานขนาดนี้ การที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้เป็นสิ่งสำคัญมาก การดูแลตัวเองให้ดี รับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ เพราะแต่ละคนต้องช่วยเหลือกัน เป็นบทเรียนที่ดี แก่มุมมองและการใช้ชีวิตของเรามาก
เรากลับมาจากไอซ์แลนด์ได้สักระยะ พร้อมกับคำถามที่ว่าการออกไปเจอโลกข้างนอกครั้งนี้ ให้อะไรกับเราบ้าง ทำไมบางช่วงเวลาเราถึงรู้สึกไม่สนุก เหนื่อยและอยากกลับมานอนที่บ้านมากเลย ตอนนั้นก็ยังตกตะกอนความคิดไม่ได้ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แต่ที่รู้ๆ เราเริ่มกลายเป็นคนที่อยากเดินทางตลอดเวลา เวลาที่เราได้เห็นผู้คนในประเทศอื่นๆมีการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป มันทำให้เราฉุกคิดอะไรได้หลายอย่างมาก มุมมอง การใช้ชีวิตของคนที่อยู่บนโลกใบเดียวกับเรา มันช่างน่าอัศจรรย์ใจ ว่าโลกของเรานั้นกว้างใหญ่มากเหลือเกิน
นี่อาจไม่ใช่บันทึกการเดินทาง ที่บอกถึงความรู้สึกทั้งหมด มันอาจเป็นเพียงรูปถ่ายและคำบรรยายแสนสั้น แต่พอเรามองกลับไป ทุกความรู้สึกก็ชัดขึ้นในใจเราอีกครั้ง ^^
ก่อนอื่นถ้าใครสนใจจะไปเที่ยวจริงๆ เราได้รวบรวมความจำเป็นในการเตรียมตัวเล็กๆน้อยๆไว้ตรงนี้ เรามาดูข้อมูลเกี่ยวกับไอซ์แลนด์ดีกว่า
ภูมิประเทศ
ไอซ์แลนด์เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรปและอยู่ในแอตแลนติกเหนือ เกาะมีขนาด 103,000 ตารางกิโลเมตร มีสภาพอากาศแปรปรวนและหนาวจัด ไอซ์แลนด์จึงมีประชากรอาศัยอยู่ไม่มากนัก ประมาณ 300,000 คน
ตอนที่เราออกเดินทางจะเป็นช่วงหน้าร้อนของไอซแลนด์ จะพบเห็นพื้นที่สีเขียวมากกว่าปกติ มีเวลากลางคืนที่สั้น โดยประมาณคือ 2-3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้มืดสนิทอย่างบ้านเราอยู่ดี สามารถเห็นพระอาทิตย์ตกตอนเที่ยงคืนได้ อยากบอกว่าแสงสวยกว่าที่เคยเห็นที่ไหนๆเลยหละ
- เมืองหลวงของไอซ์แลนด์คือเรคยาวิก (Reykjavik) จัดว่าเป็นเมืองหลวงที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่สุด
- สกุลเงิน : โครน ไอซ์แลนด์ (ISK)
สภาพอากาศ
- อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของ Reykjavík คือ 5 °C
- อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมกราคมคือ -0.4°C และในเดือนกรกฎาคมคือ 11.2°C
- มีฝนตกต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นฝนตกปรอยๆ ไม่ใช่เป็นฝนที่ตกหนัก มีลมแรงมาก บวกกับฝนที่ตกปรอยๆทำให้อากาศหนาวมากขึ้นไปอีก ฝนตกต่อเนื่องแต่เป้นฝนปรอยๆและตกไม่หนัก ถึงอุณภูมิจริงอาจจะดูไม่หนาวมาก แต่ถ้าบวกลมและฝนไปทำให้รู้สึกเหมือนอากาศหนาวขึ้นเป็นเท่าตัว และที่สำคัญอากาศเปลี่ยนแปลงทุกชั่วโมง หรือที่ง่ายๆคือภายหนึ่งวัน มีทุกฤดู
- ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 13 องศาเซลเซียส และอาจสูงขึ้นไปถึง 20 องศาเซลเซียส
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ตุลาคม) ช่วงเวลากลางวัน อุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส
- ฤดูหนาว (พฤศจิกายนถึงธันวาคม) ในตอนกลางวันอุณหภูมิอยู่ที่ -3 ถึง 2 องศาเซลเซียส ตอนกลางคืนอุณหภูมิจะลดลง
- ฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-9 องศาเซลเซียส
การเดินทาง
- เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีสายการบินไหนบินตรงไปถึงไอซแลนด์ ทำให้เราต้องหยุดพักเพื่อการขึ้นเครื่องอีกรอบนึง ครั้งนี้เราเลือกจะลงที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์กก่อน มีหลายสายการบินที่บินตรงสามารถคอยเช็กหรือรอช่วงโปรโมชัน ก็มีมาให้เห็นบ่อยๆ
จาก CPH ไป ICELAND
- จะมีสองสายการบินนั่นคือ WOW AIR และ ICELAND AIR สามารถเลือกได้ว่าต้องการเดินทางกับสายการบินไหน
- ติดต่อตัวแทนสายการบิน Iceland Air ในกรุงเทพฯ คือ Magellan Corporation Ltd. โทร. 0-2653-2050 ดูรายละเอียดเที่ยวบินได้ที่เว็บไซต์ http://www.icelandair.com
การเตรียมตัว
- หัวปลั๊ก UNIVERSAL
- อาหารแห้ง หรือมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็ได้ค่ะเพราะอาหารที่นี่ค่อนข้างแพง และปั๊มน้ำมันหรือจุดพักรถค่อนข้างห่างจากกันมา เผื่อหิวบนรถหรือว่าฉุกเฉิน ยังสามารถมีอาหารรองท้องไว้ได้ แนะนำคือควรทำอาหารทางเองในมื้อที่สามารถทำได้ เพราะส่วนใหญ่ที่พักที่นี่จะมีครัวให้
- อินเตอร์เน็ต สามารถหาซื้อซิมการ์ดได้ที่ปั๊ม N1 ราคาประมาณ 2000 KRN ไม่แพงมากแต่ใช้สอยอย่างประหยัด เอาไว้ดูทางไว้ติดต่อยามฉุกเฉินก็ดีค่ะ
- บัตรเครดิต สำคัญมากค่ะ เพราะจะใช้ในการรับรถ การฝากกระเป๋าหรือการทำธุระต่างๆ ถ้าเดินทางมาโดยคนในทริปไม่มีใครมีบัตรเครดิตเลย จะเป็นการลำบากมากๆ
- ยา สำคัญมาก ควรเตรียมให้พร้อมสำหรับใครที่มักจะมีอาการปวดข้อเข่า หรือปวดเมื่อย เพราะมีการเดินในบางจุดที่ไกลมาก
- ผ้าปิดตา เพราะที่นี่ (ฤดูร้อน) กลางคืนสั้นมาก เราอาจจะต้องนอนตอนสามทุ่มแต่แดดยังจ้า ผ้าปิดตาสำคัญมากค่ะ
- ฉุกเฉิน โหลดแอพ ICELAND 112 ไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินในทุกๆด้าน
การแต่งตัว
- ขึ้นชื่อว่าเป็นหน้าร้อน แต่เค้าไม่ได้ร้อนๆแบบเรานะคะ คือหนาวมาก ด้วยความที่เราไม่ได้คิดว่าจะหนาวขนาดนั้นเลยเตรียมชุดไปไม่เหมาะสมเลย ทางที่ดีเตรียมฮีทเทคไปเยอะๆ เสื้อกันหนาว กันฝน ที่สำคัญต้องกันลม
- ลืมเรื่องความสวยงามไปได้เลยค่ะ เพราะอาจจะได้เป็นหมี ใส่เสื้อผ้าหลายชั้นจริงๆ แต่ถ้าวันไหนฟ้าเปิดแดดจะแรงมาก ทำให้เราตัวดำได้เลย ครีมกันแดดจึงคำคัญมาก
- รองเท้า ไม่ควรเป็นรองเท้าผ้าใบแฟชัน ควรเป็นรองเท้าชนิดปีนเขา เดินขึ้นเขาและไม่ลื่น จะทำให้สะดวกกว่า
เรื่องที่ควรทราบไว้
- ประเทศไอซแลนด์มีกฏหมายให้ขับรถได้ไม่เกิน 90km/hr หรือความเร็วจะแบ่งเป็นตามทาง จะมีป้ายเตือนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นต้องทำตามกฏของเค้า ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียค่าปรับได้
- การเติมน้ำมันในปั๊ม N1 จะเป็นการซื้อการ์ดแล้วเติมเอง ควรเผื่อน้ำมันไว้โดยการเติมตลอดเวลา ไม่ควรชะล่าใจเพราะแต่ละจุดห่างกันมาก น้ำมนอาจจะหมดก่อนได้ หรือใช้ GPS คอยดูพิกัดของปั๊มน้ำมันก็ได้ค่ะ
- จะพบม้าและแกะได้ตามทาง ทุกตัวกินหญ้าแบบสุดชิว สามารถลงไปทักทายได้ แต่อย่าจับลวดล่ะ โดนชอต นี่โดนมาแล้ว เสียค่าโง่ สะดุ้งโหยงเลย
- อาหารหลักของที่นี่ก็เหมือนแถบยุโรปทั่วไป ขนมปัง เนย นม แต่ที่เพิ่มมาคือเนื้อม้าและเนื้อปลาวาฬ เนื้อปลาวาฬหน้าตาคล้ายเนื้อวัวมาก อย่าเผลอไปหยิบผิดเชียวล่ะ
- ลมที่แรงอย่างหนัก ทำให้ต้องระวังเวลาที่จะเปิดประตูรถ ค่อยๆเปิดก่อนที่มันจะไปกระแทกกับอย่างอื่นเข้า
- ประเทศไอซแลนด์เป็นประเทศที่สามารถขับรถวนได้ เพื่อการท่องเที่ยวแบบสมบูรณ์ จะใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์ไม่มีรถโดยสารประจำทางแบบทั่วประเทศ จะมีแค่เฉพาะในเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
- สามารถดื่มน้ำที่ลำธารได้ หากเดินขึ้นเขาเหนื่อยๆ ก็วักน้ำดื่มได้เลย สดชื่นมาก
ใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้จากเพื่อนเราในเพจ BIVOYAGE ได้เลย นางจะรวบรวมข้อมูลไว้แน่นกว่าเรามาก เพราะเราไม่ใช่สายรีวิวข้อมูลเลย อยากมาแชร์รูปกับประสบการณ์เล็กๆน้อยๆเฉยๆ
และที่สำคัญขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกคนโดยเฉพาะ Bifern แห่ง Bivoyage ผู้จัดการเรื่องข้อมูลและที่พักและทุกสิ่ง เอวี่ติงมากๆ และพี่ไนล์ แห่ง 9th photography Workshop ในการให้คำปรึกษาผ่านใบเฟิน ทำให้เราเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นน้อยมากๆ การใช้ชีวิตกับคนเยอะๆ ต่างถิ่นต่างภาษามันไม่ง่ายเลย แต่ก็สนุกมากๆจริงๆ
สรุปค่าใช้จ่าย ตลอดระยะเวลาใน iceland 2 อาทิตย์
- ประมาณ ไม่เกิน 1 แสนบาทค่ะ อยู่ที่การกินการใช้ต่างๆ ถ้าเตรียมตัวมาดีก็ไม่ถึงแสน
- ค่าเครื่องจาก TH to CPH และ CPH to ICELAND ราวๆ 35,000 บาท ตรงนี้ถือว่าเราได้เที่ยวเดนมาร์กด้วยเลย คุ้มมาก
- ค่าวีซ่า 3,270 บาท ทำที่สถานทูตเดนมาร์คนะคะ
- ของกินมีซื้อจากไทยและไปซื้อที่นู่น ทำกินเองประหยัดไปได้เยอะมากเลยค่ะ
- ค่าน้ำมัน 11 วัน 21,900 บาท อันนี้ถ้ายิ่งคนเยอะก็คนหารเยอะ ถือว่าไม่แพง
- ค่าเรือข้ามไปดูนก 3,661 บาท
- ค่าบลูลากูน 2,010 บาท
- เราพกเงินไป 45,000เหลือกลับมาซื้อของฝากได้อีกนิดหน่อย
- ส่วนค่าที่พักยังไม่มีจำนวนที่แน่นอน แต่แพงพอสมควรเพราะเป็น high season
ถ้าอยากรู้แบบละเอียดติดตาม Page – bivoyage เลยค่ะเพจนั้นจะคำนวนทุกอย่างอย่างละเอียด ^^ และ ถ้าใครอยากเที่ยวแบบเรา ซึ่งปกติถ้าเดินทางเองจะค่อนข้างยุ่งยากและต้องจัดการหลายๆอย่าง ตอนนี้ก็มีเพจที่เปิดให้ได้ไปเที่ยวอย่างเช่น 9th photography Workshop หรืออื่นๆต้องลองติดตามดูนะคะ
Enjoy your trip ka
รูปทั้งหมดใช้กล้อง Fuji xt1 เลนส์ 3 ตัว และ Processใน Lightroomนะคะ
สุดท้ายนี้อยากบอกว่า โลกเรากว้างมาก และอย่ามัวเสียเวลากับการมองโลกผ่านสายตาของคนอื่น
ออกไปเดินทาง และมองมันด้วยตาของตัวเองกันเถอะ
“STOP DREAMING START LIVING” .- the secret life of walter mitty
ดีงาม
^_^