” The place of references.- ในบางสถานที่ บางบรรยากาศ มักจะมีมุมใดมุมหนึ่ง ที่จุดความคิดคำนึงของเราขึ้นมา บ้างเป็นแรงบันดาลใจ บ้างก็เป็นตะกอนที่ถูกรื้อขึ้นมาจากความคิดที่โดนเวลาถมไป หรือบางทีก็เป็นแค่ความคิดถึง ถึงบางคน ที่เราอยากให้อยู่ตรงนี้ด้วยกันมากกว่าใครๆ”
การมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ ก็แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ เช่นกัน เชียงใหม่ไม่เคยน่าเบื่อในความรู้สึกของเราเลย มันช่างมีหลายบรรยากาศ หลายความรู้สึกรวมอยู่ในที่เดียวกัน แตกต่างออกไปตามโอกาสและเวลา
“Feel free to journey” คือสิ่งที่เราตั้งใจในทริปนี้ เราแทบไม่ได้หาข้อมูลมาว่าครั้งนี้เราจะไปที่ไหนบ้าง เรารู้แค่ว่าเราอยากจะไปเจอกับบรรยากาศแบบไหนมากกว่า เราและเพื่อนมีความชอบตรงกันนั้นคือ ความชอบใน zakka shop และพวก Gallery ต่างๆ เมื่อเราถึงเชียงใหม่เราก็ได้แค่มาร์คจุดใหญ่ๆที่อยากไปไม่มากนัก แต่เรื่องน่ารักที่เกิดขึ้นคือ ระหว่างทางเราหลงไปเจอกับที่ดีๆอีกเต็มไปหมด ดังนั้นสถานที่ที่อยู่ในรีวิวครั้งนี้ อยากบอกว่ามีเพียงไม่กี่ร้านหรอกที่เราตั้งใจจะไปจริงๆ นอกนั้นก็เกิดจากการเดินผ่านแล้วอดแวะไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
รีวิวนี้ครั้งนี้เราอยากให้ดูจนจบจริงๆ เพราะมันรวมหลายๆที่ไว้ด้วยกันเยอะมาก เราไม่สามารถที่จะแยกประเภทได้อย่างชัดเจน และที่ที่เราไปมาทั้งหมดก็จะมีดังนี้
Jojo kobe gallery , Gallery Seescape , Ristr8to Lab , ร้านเล่า , ฮ้านถึงเจียงใหม่ , And so on by dol , เวิ้งมาลัย , No.39 cafe’ , บ้านข้างวัด , Enough for life , Camp chiangmai , สวนพฤกษศาสตร์ , ใหม่เอี่ยม , เล่นดีดีไซน์ , จิ๊บเบอหริด , แกะ , อ่างแก้ว
เริ่มต้นด้วยสถานที่ย่านใจกลางเชียงใหม่ นั่นก็คือถนนนิมมาน ถนนนิมมานมีแกลเลอรี่แทรกตัวอยู่ประปราย แต่มีสถานที่นึง เป็นแกลเลอรี่ภาพพิมพ์เล็กๆ ที่ใช้ชื่อว่า “Jojo kobe gallery” ซึ่งอัดแน่นไปด้วยผลงานคุณภาพอยู่ด้านใน เราเปิดประตูเข้าไปพร้อมเสียงทักทายของพี่เจ้าของแกลเลอรี่แห่งนี้ ผลงานด้านในส่วนใหญ่จะเป็นเทคนิก Silk screen ซึ่งมีความปราณีตมาก Jojo kobe ตั้งอยู่ที่ ถ.นิมมาน ซอย 15 นั่นเอง
ถัดไปไม่ไกลมาก บนถนนนิมมาน ซ.17 เราก็พบกับอีกที่หนึ่งนั่นคือ “Gallery Seescape” ที่นี่เรามีความคุ้นชินกับชื่อของมันเป็นอย่างดี อาจเพราะเรากับเพื่อนมีความสนใจในแนวความคิดและผลงานของศิลปินที่ชื่อว่า พี่เหิร ต่อลาภ เราเห็นผลงานของพี่เหิรมาหลายต่อหลายครั้ง จนอยากจะเข้ามาสัมผัสในพื้นที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ที่นี่เป็นแกลเลอรี่เล็กๆที่มีผลงานดีไซน์ร่วมสมัยมากมาย และยังมีร้านกาแฟไว้เพื่อนั่งแลกเปลี่ยนความคิดพูดคุย อีกทั้งยังมีร้านค้าเล็กๆอยู่ข้างๆ เพื่อให้เราซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปได้ด้วยแหละ
ไม่นานมากเราก็ได้เดินกลับมาตรงนิมมาน ซ.14 เพื่อมาแวะดื่มกาแฟที่ร้าน “Ristr8to Lab” อันนี้จะเป็นร้านที่อยู่โซนด้านใน ไม่ใช่ร้านที่อยู่ข้าง ๆ Guu โรตีนะคะ บรรยากาศภายในร้านดีมากๆ มีเมนูให้เลือกเยอะเลย ส่วนตัวเราเลือกกินโกโก้ไป จริงๆมากินหลายวันติดกันมากเพราะเค้าชงอร่อยจริงค่ะ ถ้าใครผ่านมาแถวนี้ก็ลองแวะไปนั่งเล่นชิวๆได้
พอเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออยู่เราก็เลยคิดต่อว่าอยากทำอะไรดี ประจวบกับการที่เราอยากหาหนังสืออ่าน ร้านหนังสือเลยเป็นตัวเลือกสำหรับเรา แต่จะมีที่ไหนที่หนังสือเยอะๆและไม่ไกลจากตรงนี้บ้าง เพื่อนเลยบอกเราว่าตรงข้ามนิมมาน ซ.3 มีร้านหนังสือเล็กๆร้านนึงตั้งอยู่ ชื่อว่า “ร้านเล่า”
ร้านเล่าเป็นร้านเล็กๆที่จุหนังสือเอาไว้เยอะมาก เราตื่นเต้นอยู่นานเพราะในร้านมีหนังสือบางเล่มที่เราไม่สามารถหาซื้อที่อื่นได้แล้ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่ารักหนังสือมีตั้งแต่วรรณกรรมเด็กไปจนถึงนิยายหนักๆ เราใช้เวลาตรงนี้อยู่นานจนพอใจแล้วเราก็ออกมาพร้อมหนังสือเต็มมือเลย
ตกเย็นเราก็ได้เดินทางมาที่ ฮ้าน”ถึง”เจียงใหม่ เราก็เรียกง่ายๆว่า ร้าน “ถึงเชียงใหม่” พอ 555 ที่นี่ออกแบบมาได้น่ารักมาก ตรงส่วนแรกจะเป็นร้านกาแฟ ส่วนตรงกลางจะเป็นที่ขายกับข้าวแบบอาหารเมือง และหลังสุดจะเป็นออฟฟิศของพี่เจ้าของ ที่นี่มีเอกลักษ์คือสามเหลี่ยมใหญ่ๆ และมีต้นไม้เยอะๆ เชื่อว่าหลายคนที่มาเชียงใหม่ต้องไม่พลาดที่นี่ ส่วนใครที่มีแพลนจะมา แนะนำให้มานั่งเล่นที่นี่เลย “ถึงเชียงใหม่” ร้านอยู่ในซอยวัดอุโมง เข้ามาไม่ไกลมาก ร้านอยู่ขวามือ หลังคาสามเหลี่ยม
ก่อนวันนี้จะหมดลง เป็นเราเองที่อยากจะหาที่นั่งมองดาว มันคงเป็นเรื่องยากไปซะหน่อย เพราะตัวเมืองเชียงใหม่เปิดไฟกันสว่างมาก สุดท้ายเราก็ได้อะไรที่มาแทนกัน เราขอเรียกมันว่า ดาวดิน ตามเพื่อนละกัน การจะเห็นดาวดินต้องขึ้นไปบนดอยสุเทพ ขับรถไปประมาณ 20 นาที จัดแจงหาที่นั่ง แล้วที่เหลือก็แค่ใช้เวลากับภาพตรงหน้า 🙂
วันนี้เริ่มขึ้นมาจากการที่เราไม่มีแพลน (อีกแล้ว) แต่เราก็ไล่เปิดดูรูปจนมาเจอ No.39 cafe ที่อยู่ในซอยวัดอุโมงค์ เมื่อเรามีจุดหมายเราจึงทำการออกเดินทางด้วยรถแดงเพื่อไปลงปากซอยวัดอุโมงค์ พอถึงที่หมายเราก็ได้แต่ยืนงงว่า ยังไงต่อดี เดินตาม Gps ไปเรื่อยๆ จนเราได้บังเอิญมาเจอกับร้าน “And so on by dol” เป็น zakka shop แบบที่เราชอบ เราก็อดที่จะแวะไปไม่ได้ ภายในร้านบรรยากาศร่มรื่นน่ารักมาก เหมือนจะมีสองร้านในบริเวณเดียวกัน ร้านนึงเป็นพวกงานเซรามิก อีกฝั่งจะเป็นงานผ้า เราเดินดูอยู่นานจนตัดสินใจเลือกซื้อพวงกุญแจนางฟ้ามาคนละตัวกับเพื่อน
เราเดินตามแผนที่ พร้อมถามทางจากคนที่เดินผ่านว่า No.39 cafe อยู่ที่ไหน ไม่ทันไรเราก็ได้พบกับที่ที่นึง ซึ่งบรรยากาศน่ารักมาก มีคนขายผักสลัดอยู่ด้านหน้า มีเด็กเล่นหม้อข้าวหม้อแกง เราตื่นเต้นและถามเค้าไปว่า ที่นี่ที่ไหนคะ เสียงของคุณพี่คนนึง อู้กำเมืองออกมาว่า “เวิ้งมาลัย” เจ้า
ตอนที่เราไปที่นั่นคือวันที่ 5 ธันวาคม เป็นความโชคดีที่เค้ามีจัดงานประจำปีของเวิ้งมาลัย ซึ่งจะมีการขายของใช้ ของกิน ขายของมือสอง ขายโปสการ์ด มีสอนย้อมผ้าจากมะเกลือ และเหมือนทุกๆคนที่อยู่ที่นี่นั้น มีความคุ้นเคยและรู้จักกันดี เราชอบบรรยากาศความน่ารักของที่นี่มาก ใช้เวลากับที่นี่ไปอยู่นานพอสมควร
อีกทั้งเราและเพื่อนยังได้พบกับศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนึง ที่มาอยู่ไทยแล้วสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดน่ารักๆเอาไว้ เราอุดหนุนด้วยการเหมาโปสการ์ดกันมาหลายใบ พร้อมพูดคุยและทำตัวเนียนๆกับคนในเวิ้งมาลัย เป็นความทรงจำที่น่ารัก พูดแล้วมีความรู้สึกอยากย้ายบ้านเลย 555 ถ่ายรูปมาได้ไม่หมดใครอยากรู้ว่าน่ารักขนาดไหน ต้องมาด้วยตัวเองเลย สถานที่ก็คือ ในซอยวัดอุโมงค์ เหมือนเดิมเลย ถ้าใครตามเรามาจากร้านแรก ก็ไม่ยากที่จะผ่าน เวิ้งมาลัย
จนสุดท้ายเราได้มาเจอกับ “No.39 cafe” สักที ที่นี่โดดเด่นตรงที่มีบ้านไม้หลังเล็กตั้งอยู่ริมสระน้ำ พร้อมกับต้นไม้ใหญ่ที่มีเยอะมาก ทำให้บรรยากาศเหมือน cabin in the wood อะไรประมาณนั้นเลย เรานั่งพักและสั่งโกโก้กิน รสชาติใช้ได้ ค่อนไปทางอร่อยเลยแหละ ที่นี่ก็เป็นเหมือนเวิ้งเวิ้งนึง ที่รวมเอาหลายๆร้านเข้ามาไว้ด้วยกัน มีร้านกาแฟประมาน 2 ร้าน และร้านเบอเกอร์ ส่วนตรงบ้านไม้นั้นก็เป็นโซนแกลเลอรี่
นั่งอยู่ตรงนี้เราได้เขียนโปสการ์ดถึงตัวเองไว้ยาวมาก เพราะเรื่องราวของการเดินทางวันนี้มีแต่หลงและหลง แต่เป็นการหลงที่มีเสน่ห์มาก วันนี้เรายังเหลืออีกที่นึงที่อยากไป นั่นก็คือ “Enough fo life” ซึ่งตามแผนที่ก็บอกเราว่ามันอยู่ไม่ไกลมาก ว่าแต่เราจะเชื่อได้รึป่าวนะ
ก่อนจะไปที่นั่น ถัดมาก็จะเป็น “บ้านข้างวัด” เป็นสถานที่ที่รวบรวมเอาหลายๆร้านเข้ามาไว้ด้วยกัน ตอนเย็นๆคงเป็นบรรยากาศที่น่ารัก เพราะมีลานกว้างไว้ให้นั่งเล่น มีร้านไอศรีมไข่สดที่ขึ้นชื่อ เราลองแล้วก็อร่อยดีนะ หวานๆมันๆแต่ไม่ถูกปากเท่าไหร่ พอมาถึงตรงนี้ทำให้เรารู้ว่า บางทีการไม่มีรถอาจจะทำให้เราได้เจออะไรเยอะกว่าการพุ่งตรงไปที่จุดหมายที่เดียว วันนี้เหนื่อยแต่รู้สึกดีจัง
ดูนาฬิกา เวลาตอนนี้ก็เกือบจะเย็นๆแล้ว เรารีบเปิดดูแผนที่พร้อมกับแบตเตอรี่ที่เหลือน้อยเต็มที จุดหมายต่อไปของเรานั่นคือ “Enough for life” แค่ชื่อก็น่ารักแล้วแหละ ที่นี่เหมือนเป็นชุมชนของคนเกาหลี เล็กๆ เล็กๆจนไม่รู้ว่าสามารถเรียกว่าชุมชนได้ไหม แต่เมื่อราถามทางจากคนท้องถิ่น หลายๆคนก็เต็มใจที่จะเรียกว่า ชุมชนเกาหลี
ก่อนที่เราจะมา เราได้เปิดดูบทสัมภาษณ์ของคุณนุจัง ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เกี่ยวกับความคิดในการสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมา อะไรคือความพอเพียง อะไรคือความสุข พอเราได้อ่านก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกถึงความบีบหัวใจเล็กๆ ว่าที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ มันเร่งรีบและเหนื่อยเกินไปรึป่าว ณ ที่แห่งนี้ ใช้หน่วยเวลาเดียวกับเรา แต่ทำไมพวกเค้าถึงดูมีความสุขกันมากจริงๆ มันทำให้เรานึกถึงคำคำนึงที่ว่า เงินซื้อเวลาไม่ได้
ที่นี่มีเมนูอาหารที่เปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ มีโซนเกสท์เฮาส์ มีโซนร้านกาแฟ มีโซนขายของทำมือ และมีโซนอาหารโฮมเมด ที่แม่ครัวเป็นชาวเกาหลีแท้ๆเลย วันนี้มีเมนูคือสลัดปลาหมึกทอด เป็นเมนูที่ดูไม่แปลกตาแต่อร่อยมากๆ เพราะเค้าจะเสริฟท์คู่กับกิมจิ และน้ำพริกอะไรสักอย่าง พร้อมผักที่ให้เยอะมากๆ เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่ดีจริงๆ
ก่อนกลับเรายังได้เจอตัวจริงของน้องพอเพียง เพียงพอ พอดี ซึ่งเป็นลูกชายของคุณนุจัง น้องๆน่ารักมาก แม้จะได้แค่ดูอยู่ห่างๆ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความซนและน่ารัก สำหรับวันนี้ของเราคงต้องหมดลง ว่าแต่เราจะออกจากที่นี่เพื่อไปที่พักสำหรับคืนนี้ยังไงดี
สุดท้ายแล้วเราก็ต้องพึ่งพาเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ เพื่อมารับเราออกไปจากที่นี่ (ฟังดูลำบากมากเลย) เลยอยากบอกว่าถ้าใครจะมาที่นี่ เช่ารถขับดีกว่าเพราะจากตรงนี้ยากมากที่จะหารถแดง พอเพื่อนเห็นสภาพเราก็คงจะสงสาร เลยเอ่ยปากจะไปส่งเราที่ที่พักคืนนี้ นั่นคือที่ Camp chiangmai ตั้งอยู่ที่แม่ริม เรามารู้อีกทีว่ามันไกลจากตัวเมืองมาก คงไม่สามารถที่จะเดินทางไปกันเองได้แล้ว 555 นี่สิความไม่มีแพลนของจริง
และเราก็มาถึงที่ Camp chiangmai ที่รอคอย ที่นี่จะมีห้องพักเป็นเหมือนเต็นท์ แต่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ผ้าห่มที่นุ่มทำให้เราลืมความเหนื่อยของวันนี้ทั้งหมด เราหยิบเอาไฟดวงเล็กๆติดมาจากบ้านด้วย เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้น เสียงของพี่สาวเจ้าของสถานที่ บอกกับเราว่าด้านนอกยังมีอ่างน้ำอุ่นไว้คอยบริการ อากาศเย็นๆกับน้ำอุ่นกลางป่า มันคงจะฟินมาก แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ลง เพราะว่าไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมา
ห้องพักของ Camp chiangmai มีหลายแบบหลายราคา มีตั้งแต่ Double bed , Twin bed ไปจนห้องแบบ family ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าราคาแพงแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ ห้องนึงถ้าหารกัน ตกคนละ 600 กว่าๆเองนะ อีกอย่างเค้าจะเปิดถึงแค่กุมภาพันธ์ปีหน้า รีบๆจองหละ เดี๋ยวจะเต็ม 😀
พอได้เวลาประมาณ 11 โมง เราก็ออกมาจากที่พัก แล้วหาที่เที่ยวที่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก คำแนะนำของเพื่อนที่เชียงใหม่ก็คือ ม่อนแจ่ม แต่เราไม่อยากไปไกลขนาดนั้น คำตอบของเราก็เลยเป็น สวนพฤกษศาสตร์ ที่คุ้นตานั่นเอง แต่เรากลับไม่เคยมา 555 ค่าเข้าคนละ 40 บาทนะคะ
ได้เวลากลับเข้าในเมือง เราจะไปกันที่ “MAIIAM” เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Contemporary Art) ของศิลปินชาวไทย จริงๆแล้ว การมาใหม่เอี่ยมของเราเกิดขึ้นในรอบที่ผ่านมาประมาณสามเดือนที่แล้ว แต่เราอยากนำมารวบรวมไว้ในรีวิวครั้งนี้ด้วย หากภาพงานแสดงจะไม่เหมือนกับปัจจุบัน ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ เมื่อตอนที่เราไป ใหม่เอี่ยมยังเปิดให้เข้าชมไม่นานมาก มีค่าเข้าชม 150 บาทต่อคน เปิดตั้งแต่ 10 โมง ถึง 6 โมงเย็น และมีวันหยุดคือวันอังคารนะ เผื่อใครจะไปต้องเช็ควันดีๆด้วยล่ะ
ที่นี่มีงานร่วมสมัยจัดแสดงอยู่เยอะมาก เป็นที่ที่เติมไฟในการทำงานให้เราได้ดีจริงๆ เหมือนกับตอนต้นที่เราได้เกริ่นนำเอาไว้ว่า The place of references ใครที่ชื่นชอบงานศิลปะ พลาดสถานที่นี้ไม่ได้แล้วแหละ
ถัดมาเราก็ได้เดินทางไปร้านนึง ที่เราได้ฟอลโล instagram อยู่มาสักพัก ก็คือร้าน Rendee_design เป็นร้านที่ขายของ handmade ที่แตกต่างออกไปจากร้านแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวชาวเขาสีสันสดใส และร้านข้างๆก็มีเสื้อผ้าประเภทใยกัญชง น่ารักและมีให้เลือกเยอะมากเลย แต่เราไม่ได้ซื้อหรอกนะ เรามาดูเพื่อเป็นแรงบันดาลใจเฉยๆนี่หละ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่กลางซอย มูลเมือง ซอย6 นะ
“จิ๊บ เบอ หริด” หรือ jibberrish ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ทางขึ้นวัดพระธาตุดอยคำ เป็นร้าน zakka shop เล็กๆที่น่ารักมาก มีแมวตัวนึงที่คอยป้วนเปี้ยนชื่อว่าคุณจำเนียน เราได้ซื้อโปสการ์ดคุณจำเนียนไว้ ในร้านมีความอบอุ่นและน่ารักมากๆ
พอได้เวลาประมาณ 4 โมงเย็นเราก็มาเจอที่นี่ มันคือที่ไหนสักแห่งที่เราบังเอิญขับรถผ่าน มีแกะและม้าอยู่เยอะมากๆ เดินกินหญ้ากันสบายใจเลย มันคือทางออกไปเชียงใหม่-แม่ริม น่ารักดีนะ
จนเช้าวันที่เราจะกลับ เราก็มีโอกาสได้เข้าไปใน มช ตรงไปที่อ่างแก้ว ที่ที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไร บางคนบอกว่าเป็นอ่างเก็บน้ำที่สวย บางคนบอกว่าลมเย็น แต่พอตอนที่เราถึงมันก็เป็นบรรยากาศที่ดีนะ ดีมากๆด้วยล่ะ ความเงียบทำให้คิดถึงอะไรหลายๆอย่าง อาจเพราะตอนนี้มันยังเช้าอยู่ ถือว่าเป็นอีกสถานที่นึงที่เข้าไปอยู่ในใจของเราเลย
ใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวเชียงใหม่ยาว ๆ ก็สามารถดูตามในนี้ได้เลย ถ้าคุณชอบ เราคือเพื่อนกัน : D แล้วรอติดตามรีวิวภาคเหนืออีกจังหวัดนึงของเราได้เร็วๆนี้นะ ขอให้มีความสุขกับวันปีใหม่ ล่วงหน้านะคะ
Hello blogger, i must say you have very interesting content here.
Your website should go viral. You need initial traffic only.
How to get it? Search for; Mertiso’s tips go viral