TRUST THE WAIT.
EMBRACE THE UNCERTAINTY.
ENJOY THE BEAUTY OF BECOMING.
WHEN NOTHING IS CERTAIN, ANYTHING IS POSSIBLE.
The world is a book, and those who do not travel read only a page.
-Saint Augustine
การเดินทางช่วยให้เราได้เจอสิ่งใหม่ และการได้ออกเดินทางบางครั้ง ทำให้เราได้ลบความเชื่อเก่าๆ มีบางสถานที่ทำให้เราคิดไปเองว่าอยู่ใกล้กันแค่นี้อะไรๆคงไม่ต่างกันมาก ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม พม่า ลาว ก็คงไม่หนีห่างจากทางเหนือหรืออีสานบ้านเราสักเท่าไหร่
แล้วเราก็ได้รู้ว่าความคิดนี้ผิดถนัด เราเผลอลืมคิดไปเลยว่าขนาดประเทศเราเองยังมีวิถี ขนบต่างๆ ไม่เหมือนกันในแต่ละภูมิภาค วัฒนธรรม ภาษาถิ่น มีอีกหลายที่ที่เราไม่เคยไป หลายสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็น
สิ่งที่เราสัญญากับตัวเองเสมอๆ คือทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน จงเปิดใจให้กว้างเข้าไว้ เตรียมรับสิ่งใหม่ๆที่จะผ่านเข้ามา และพอได้เริ่มการเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้หลายความคิดเดิมๆ ที่เราเคยมีถูกสลัดทิ้งไป
และการเดินทางครั้งใหม่ของเราครั้งนี้ก็คือ เวียดนาม โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ดานัง – เว้ – ฮอยอัน สามเมืองในเวียดนามกลางที่รวมความหลากหลายเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายแบบตะวันตก มรดกทางวัฒนธรรมของโลก ไปจนถึงวิถีชีวิตท้องถิ่นแบบเรียบง่ายของผู้คนที่นี่ ทำให้เราหลงเสน่ห์เวียดนามได้อย่างไม่ยากเย็น

เราเดินทางมาดานังด้วยสายการบิน แอร์เอเชีย เช่นเดิม สายการบินที่มีเส้นทางในฝันของเราเสมอๆ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ภาพทิวทัศน์ที่เขียวชอุ่มก็โผล่มาให้เราเห็นอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่าง เราตื่นเต้นกับภูเขาสีเขียว ที่คล้ายราวๆ กับโมเดลจำลอง เรามาถึงดานังด้วยเวลาที่กำลังดี คือเที่ยงกว่าๆ เราสามารถเข้าที่พักเพื่อเก็บของแล้วเตรียมตัวออกเที่ยวได้ตั้งแต่วันนี้เลย 🙂

Danang ; ดานัง
Bana Hills
สิ่งสะดุดตาสะดุดใจทำให้เราอยากมาดานังคือภาพยอดเขาสูง ที่มีสิ่งปลูกสร้างคล้ายปราสาท เรียกว่า Bana Hills เรามาถึงบานาฮิลในช่วงตอนเย็น ๆ แล้ว กระเช้าเคลื่อนผ่านน้ำตกสายใหญ่ เสียงน้ำที่ไหลตกกระทบลงพื้นโลก ดังชัดแม้ว่าเราจะลอยอยู่สูงกว่ามาก กระเช้าเคลื่อนพาเราเข้าสู่กลุ่มหมอกขาว เป็นสัญญาณว่าเรากำลังอยู่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พาเรามาถึงยอดบาน่า บรรยากาศผิดกับด้านล่างอย่างสิ้นเชิง อากาศเย็นขึ้นทำให้เราต้องกระชับผ้าพันคอให้แน่น หมอกลอยตัดผ่านยอดปราสาท ภาพตรงหน้าเราตอนนี้สวยไม่ต่างกับเมืองฟอเรนท์ในแถบยุโรปที่เคยตรึงใจใครหลายคนเลยเพียงแต่ตอนนี้เราอยู่แค่เวียดนามนี่เอง
สถาปัตยกรรมของที่นี่ออกแบบมาได้เหมือนกับเราเดินอยู่กลางหมู่บ้านในประเทศฝั่งตะวันตกอย่างไรอย่างนั้น บ้านช่องที่สร้างมาจากอิฐและหิน ประตูหน้าต่างไม้ เหล็กดัด กระเบื้องทุกแผ่น ทำเลที่ตั้งบนยอดเขาสูง บรรยากาศทุกอย่าง หมอกหนาที่เลื่อนผ่านไปเป็นระลอกๆ ทำให้แทบลืมไปว่านี่ไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านเราเลย
กระเช้าแห่งบานาฮิลล์นี้ได้รับการบันทึกสถิติโลก World Record ว่าเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุด ไม่หยุดแวะมีความยาวเกือบหกพันเมตร ถือได้ว่าเป็นกระเช้าที่สูงที่สุดที่เคยได้ขึ้นเลย บางช่วงที่ลมแรงพัดมาปะทะจนกระเช้าโอนเอียง ท้องไส้เราก็หวิวไปด้วย เมื่อชะโงกหน้าลงมาจะเห็นทิวทัศน์ของน้ำตก Toc Tien และลำธาร Suoi no ไหลเป็นสายทอดยาวลงไปตามความชันของภูเขา
อย่างที่บอกว่าเหมือนหลุดมาในเมืองยุโรปไม่มีผิด ที่ Bana Hills มีอากาศเย็นตลอดทั้งปีและมีบรรยากาศที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในเวียดนามกลาง จึงไม่แปลกที่ในสมัยก่อนบาน่าฮิลล์จะถูกเลือกให้สร้างเป็นสถานที่พักผ่อนให้แก่ชาวฝรั่งเศสและทหารที่ประจำการอยู่ในเวียดนาม ในช่วงที่ประเทศฝรั่งเศสปกครองเข้ามาเป็นผู้ปกครองบนแผ่นดินนี้
ปัจจุบันบาน่าฮิลล์ถูกเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งสวนสนุกและสิ่งต่างๆ มากมาย ทำให้บาน่าฮิลล์กลายเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเวียดนาม
บรรยากาศตอนเย็น นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อยลงแล้ว มีเพียงหมอกหนาและลมหนาวกับความเงียบสงบ เราค่อยๆเดินไปตามถนน ผ่านซอกซอยไปพร้อมๆกับชมเหล่าตึกและอาคารต่างๆ ทุกๆอย่างที่นี่ช่วยให้ผ่อนคลายอีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายความโรแมนติกออกมาทั่วทางเดินอยู่ตลอดเวลา
เราแวะเล่นเรื่องเล่นนี้ สนุกและหวาดเสียวกว่าที่คิด ความเร็วของมันสามารถแล่นผ่านสายหมอกได้อย่างรวดเร็ว เรากรีดร้องออกมาแบบไม่รู้ตัว เป็นการมาในช่วงเวลาสั้นๆที่ใจเต้นและสนุกมาก
ค่าเข้าบานาฮิลล์จะตกที่คนละ 1,000,000 ดอง ก็ประมาณพันกว่าบาท ถ้าใครมาเช้าหน่อย ด้านบนจะมีเครื่องเล่นให้เล่นเยอะมาก จะคุ้มกว่า แต่เราอยากมาตอนที่คนน้อย ทุกอย่างเลยดูเงียบๆ ก็ถือว่าเป็นอีกบรรยากาศนึง
เรากลับถึงข้างล่าง ก็เป็นเวลาที่ค่ำแล้ว หมดเวลาสำหรับวันนี้ เราเตรียมตัวขับรถออกไปหาอาหารทะเลกิน เพราะไหนๆมาเมืองท่าทั้งทีแล้ว หลังจากจบมื้อค่ำเราก็รีบกลับห้องเพื่อพักผ่อนเก็บแรงสำหรับวันถัดไป
Non Nuoc Beach
Non Nuoc Beach ชายหาดขึ้นชื่อแห่งดานังจนครั้งนึงเคยเป็นชายหาดที่สวยที่สุดสิบอันดับแรกของโลก เราเลยได้เห็นชายหาดที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกำลังเล่นน้ำกันอยู่มากมาย นอกจากความสวยงามของหาดทรายแล้ว รอบๆหาดยังรายล้อมด้วยคาเฟ่และร้านอาหารกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นตัวเลือกที่ดีในการพักผ่อนของบรรดาเหล่านักเดินทาง
เราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเพื่อเล่นน้ำ แต่ก็ตื่นตาตื่นใจที่เห็นคนเยอะมากขนาดนี้ สมกับที่เค้าบอกว่าเป็นหาดยอดนิยมมากๆ แห่งนึงเลยหละ
เราใช้เวลาครึ่งวันหลัง เดินทางไปที่เว้ โดยออกจากดานังประมานบ่ายโมง เราไปถึงเว้เกือบบ่าย 3 ได้ โดยตลอดทางมีวิวภูเขาเยอะมากๆ ค่ารถจากดานังมาเว้ ตกที่ประมาณพันกว่าบาท หารสี่แล้วเหลือนิดเดียวเอง
HUE ; เว้
เว้เป็นเมืองหลวงเก่าของเวียดนาม เป็นเมืองมรดกโลก มีทั้งสถาปัตยกรรมโบราณที่อายุหลายร้อยปี ปราสาท ป้อมปราการ สุสานของจักรพรรดิและแม่น้ำหอม แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านกลางเมืองนำความมีชีวิตชีวา ความอุดมสมบรูณ์มายังเมืองเว้ ตั้งแต่สมัยอดีตจวบจนถึงทุกวันนี้
หลายคนอาจมองข้ามเมืองนี้เพราะคิดว่ามันอาจจะไม่มีอะไร แต่โดยส่วนตัวเรากลับรู้สึกชอบเมืองนี้มาก ด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณที่ผสมผสานกลิ่นอายเล็กๆจากซุ้มประตูโค้งแบบตะวันตกเข้าไป สีสันสดใสที่ถูกแต้มลงไปผสมกับรูปปั้นนูนต่ำและนูนสูง ถูกนำมาใช้ทั่วทุกที่จนเกิดเป็นเสน่ห์แห่งกาลเวลาที่เราเรียกว่าประวัติศาสตร์ ร่องรอยของอตีดที่ฝังอยู่ตามรอยราวและกระเบื้องหลากสีเหมือนพาเราให้เดินย้อนกลับไปยังยุคอันเฟื่องฟูที่เคยเกิดขึ้น ก็เพลินตาเพลินใจไม่เบาเหมือนกัน
ค่าเข้าชมจะอยู่ที่คนละ 150 บาทกว่า ๆ นะ สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าเลย ถ้าใครไม่อยากร้อนมากก็มาแต่เช้าก็ได้
สีแดงและทอง สีมงคลตามหลักฮวงจุ้ยของจีน ถูกนำมาใช้ในงานสถาปัตยกรรมของพระราชวังหลวงแห่งเมืองเว้ ขับให้ทุกอย่างดูมีมนต์ขลังมากขึ้นไปอีก
“พระราชวังหลวง” หรือ “นครจักรพรรดิ” หรือ “นครต้องห้าม”
พระราชวังหลวงเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแห่งเว้ทั้งหมด 13 พระองค์ ออกแบบตามความเชื่อของจีน ผังของวังถูกออกแบบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีกำแพงสูง 3 ชั้นล้อมรอบ
” เว้ ” เต็มไปด้วยหลายมุมที่น่าสนใจ และมีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่และยาวนาน เราใช้เวลาที่นี่ไปกว่าค่อนวัน ค่อยๆเดินชมความสวยงามของประตู และเพลินไปกับมุมถ่ายรูปที่ซ่อนอยู่จนรู้ตัวอีกทีก็จวนจะหมดวันแล้ว

HOI AN ; ฮอยอัน
เราพูดได้เพียงว่า ” ไม่ควรพลาด ” ฮอยอัน เมืองที่รวมเอาเสน่ห์ของเวียดนามเข้ามาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว หากมีคนบอกว่าถ้ามาเวียดนามแล้วต้องไปฮอยอัน เราเห็นด้วยทันที หลังจากได้เดินทางมาสัมผัสที่นี่ด้วยตัวเอง
ฮอยอัน เป็นเมืองขนาดเล็กที่เคยเป็นเมืองท่าตั้งอยู่บนปากแม่น้ำทูโบน ทำให้มีชาวต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานมากมาย ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตซ์และอินเดีย เราสามารถเห็นความกลมกลืนของวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่มาหลากหลายเชื้อชาติได้ที่นี่
ด้วยความที่เป็นเมืองท่ามาก่อน ทำให้วิถีชีวิตของคนที่อยู่ที่นี่นั้นพึ่งพาการสัญจรทางน้ำ และที่ขึ้นชื่อเลยจนต้องมาลองก็คือ “เรือกระด้ง” เราได้เห็นการใช้ชีวิตควบคู่ไปกับลำคลองของคนที่นี่ คุณน้าพยามยามแนะนำเหล่าต้นไม้ จุดชมวิว หรือแม้กระทั่งจับปูขึ้นมาให้เราดู เวลาของเราค่อยๆไหล่ผ่านไปอย่างสงบ ไม่ช้าไม่เร็ว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างพอดี ลมหอบกลิ่นต้นไม้และน้ำมากล่อมเราตลอดช่วงเวลาที่กำลังล่องไป ชวนให้สายตาที่เคยเปิดกว้างเริ่มปรื้อเคลิ้มง่วงไปบ้างในบางที

Thanh pho Hoi an
และที่เราประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็น bnb ที่ฮอยอัน ซึ่งพอหารกันแล้วตกเพียงแค่ 700 บาท แต่มีสองชั้น ชั้นที่สองเป็นห้องใต้หลังคา ให้อารมณ์เหมือนอยู่บาหลีเลย
พอเสร็จแล้ว เราก็เตรียมตัวไปที่ Ancient Town ซึ่งเป็นอีกสถานที่สำคัญในฮอยอัน
ในย่านนี้ประกอบไปด้วยร้านต่างๆ เยอะแยะมากมาย หลายๆตึก ถูกฉาบเป็นสีเดียวกันเป็นสีเหลือง หน้าร้านถูกประดับด้วยป้ายภาษาเวียดนามสลับภาษาอังกฤษ กลิ่นอายของการผสมผสานต่างๆ ทำให้ฮอยอันมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ วันที่เรามามีฝนตกปรอยๆ ทำให้เราเดินเล่นมากไม่ได้ เราจึงเลือกหยุดไปตามร้านต่างๆ
Secret Garden ร้านเล็กๆ สมกับชื่อที่ซ่อนอยู่ในสวน บรรยากาศร่มรื่นกับกลิ่นต้นไม้ชื้นๆ รั้งเราให้อยู่ที่นี่นานพอสมควร หลังหาอะไรทานรองท้องได้คลายความเมื่อยล้า เม็ดฝนเริ่มซาลงเราก็เดินทางต่อ
พอฝนหยุดตก เราเดินมาเรื่อยๆ จนได้ผ่านมาสะดุดตากับร้านที่มีผนังสีเขียวมินท์นี้
Reaching Out Teahouse
” The Beauty Of Silence ”
เราเจอกับคาเฟ่แห่งนี้จากเว็ปไซด์ของเวียดนาม เราไปยืนอยู่ที่หน้าร้าน โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือร้านชาที่เราตามหา เราเดินไปสั่งชาที่รสโปรดที่ดื่มเป็นประจำ พนักงานที่รับออเดอร์เพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับมา
เราได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจพร้อมสงสัยว่าเค้าจะเข้าใจเรามั้ย เพราะไม่มีคำพูดใดจากเค้าส่งมาถึงเราเลย จนเราเดินไปนั่งและเริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆที่เราได้เจอ และวางแผนการเดินทางของเราต่อจนสายตาเราไปสะดุดเห็นบล็อคไม้เล็กๆ บนโต๊ะ ที่เขียนคำต่างๆ รวมถึงกระดาษและดินสอ ที่ถูกวางไว้ ราวกับรอใครมาใช้งาน จนเมื่อเพื่อนชี้ให้เราดูป้ายเล็กๆ ป้ายนึง
“THE BEAUTY OF SILENT”
เมื่อเสียงของเราเบาลง เสียงรอบตัวก็เหลือเพียงเสียงจากถ้วยชา และเสียงจากการทำงานของเหล่าพนักงาน
” แปลก ” ในใจเราคิดคำนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นเราจึงเริ่มเห็นเหล่าพนักงานสื่อสารกันด้วยภาษามือ และผู้คนในร้านที่จิบชากันอยู่อย่างสำรวม เราจึงเริ่มคลายความสงสัยที่อยู่ในใจ
จนสุดท้ายได้เข้าในว่า นักงานของที่นี่เป็นผู้บกพร่องทางการได้ยิน ทุกคนสื่อสารกันด้วยภาษามือและตัวอักษร บอกความต้องการให้แก่กันผ่านป้ายไม้ที่เขียนไว้ว่า ชาบ้าง กาแฟบ้าง และเพราะเหตุนี้เราจึงได้เข้าใจว่าในที่แห่งนี้คนที่ ” แปลก ” กลับเป็นตัวเราเอง ที่มาใช้เสียงดังในพื้นที่ของพวกเค้า
เราเลือกวางสิ่งที่จะทำทั้งหมดไว้ก่อนแล้วผ่อนคลายตัวเองลงให้คล้อยตามบรรยากาศของที่นี่ เคารพสถานที่ให้เกียรติพวกเค้าคือสิ่งที่เราทำและสิ่งที่เราได้กลับมาคือรอยยิ้มจากทุกคนรอบตัวรวมถึงความสงบสุขอิ่มเอมใจจากตัวเราเองด้วยเช่นกัน
สิ่งที่เราเห็นได้มากมายจากที่นี่ น่าจะเป็นงานฝีมือเกี่ยวกับการปัก ปักด้วยมือ จนกลายเป็นภาพต่างๆ ถือเป็นงานฝีมือที่ควรมีติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านสักผืนสองผืน
ทุกวันนี้ฮอยอันก็ยังคงเป็นเมืองท่าเล็กๆ เช่นเมื่อก่อน แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปคือเหล่านักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาไม่ขาด คงเพราะเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร บรรยากาศอบอุ่นปนโรแมนติกที่คลุกเคล้าไปด้วยกันจึงดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเยือนที่เมืองแห่งนี้
บรรยากาศยามค่ำข้างแม่น้ำ มีทั้งผู้คนที่มาใช้ชีวิต และหนุ่มสาวหลายคู่ที่มาเติมความโรแมนติกให้แก่กัน
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงจากโคมน้อยใหญ่ทั่วเมืองก็เริ่มเด่นชัดและสว่างสไวขึ้น ทุกที่ในฮอยอันประดับประดาไปด้วยโคมหลากสีสัน อีกอย่างที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของฮอยอัน โคมไฟซึ่งทำขึ้นจากผืนผ้าเป็นทั้งของประดับเมืองและของที่ระลึกขึ้นชื่อของฮอยอันเลยล่ะ
เราจบทริปกันที่ฮอยอัน เวลาแค่ 4 วัน สามเมือง อาจทำให้เราเที่ยวได้ไม่เต็มที่มาก ใจจริงอยากมีเวลาได้อยู่ในแต่ละเมืองสักสองวัน น่าจะทำให้เต็มอิ่มได้มากกว่านี้ ถ้าใครจะมาก็อยากให็เช็คสภาพอากาศดีๆ ก่อนด้วยนะ เพราะเรามาแล้วฝนตกซะส่วนใหญ่ อาจจะทำให้เที่ยวได้ไม่เยอะมาก
สุดท้ายทุกสถานที่มีความหมายที่ต่างกันไป วัฒนธรรมในแต่ละแห่งที่เราได้เห็น สถานที่แปลกตา ผู้คน ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา แต่กลับทำให้เราได้สัมผัสกับความหลากหลายของความเป็นอยู่ ได้พบเจอเรื่องราวใหม่ๆอยู่เสมอ เรายังคงรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางแล้วได้พบเจอกับสิ่งต่างๆที่คอยทำให้ประหลาดใจ และประทับใจนี้ ทุกครั้งเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง สิ่งเหล่านี้เองกลายเป็นเหมือนพลังที่เติมให้เราพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป
ใครที่กำลังอยากเที่ยวต่างประเทศแต่ไม่ไกลบ้าน เราแนะนำเวียดนามเลย เป็นเมืองที่จะมากับเพื่อนหรือครอบครัวก็ได้ อีกเมืองที่ที่เหมาะกับการมาพักผ่อนแบบไม่คิดมาก มานอนเล่น นั่งเล่น หาอะไรถูกๆกิน แล้วก็นอนเล่นริมทะเล เมืองล้นเสน่ห์ที่ผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมของดินแดนฝั่งตะวันตกและอารยบนพื้นดินฝั่งเอเชีย เป็นเวียดนามกลางที่ควรมาเยือนสักครั้งนะ
โดยค่าใช้จ่าบทั้งหมดของเราหมดไป 9,500 บาท รวมทุกอย่างแล้ว ไม่แพงเลยใช่มั้ย รีบเก็บกระเป๋า ตามมาถ่ายรูปกับพระราชวังสวย ๆ ที่นี่กันเถอะ
NOTE
- ที่นี่สามารถเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับได่ในราคา 100-120 บาทต่อวัน
- ของกินที่นี่ถูกมากๆ
- เวลาย้ายเมืองแนะนำให้เรียก Grab เลย แต่ถ้าจากเว้ต้องเรียกแท็กซี่ท้องถิ่นนะ แต่ก็ถูกเหมือนกัน
- เตรียมเสื้อกันฝนมาหน่อยก็ดีนะ
- เงินประมาณ 7,000 สามารถใช้ได้ตลอดทริป อาจจะเหลือๆด้วยซ้ำ
- บินตรงทุกวันกับแอร์เอเชีย จองตั๋วได้ง่าย ๆ เลย ราคาไม่แพง เหมือนไปเที่ยวภูเก็ต