Bad hamburg
เยอรมัน อีกหนึ่งประเทศในใจของใครหลายๆ คน ที่ถ้ามีเวลาหรือมีโอกาสคงจะอยากมาเยือนสักครั้ง เพราะขึ้นชื่อในเรื่องราวของประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ครั้งนี้ก็เช่นกัน การกลับมาเยอรมันเป็นครั้งที่สอง และเริ่มเดินทางจากเมืองแรกซึ่งอยู่ไม่ไกลแฟรงค์เฟิตมากนัก ก็คือเมือง Bad Hamburg
เราเดินทางมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แน่นอนว่าเป็นฤดูหนาวและอากาศยังคงหนาวจัด
เพราะบวกกับพายุหิมะเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว
ทันทีที่เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ภาพแรกที่เห็นเมื่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ทุกอย่างต่างเป็นสีขาวโพลนม้านั่ง พื้นถนน ต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และเมื่อลองเช็คสภาพอากาศจึงได้รู้ว่าเรากำลังเผชิญกับอุณหภูมิลบห้าองศา
จุดสำคัญของที่เมืองนี้ก็คงจะเป็นศาลาทรงไทย สีทองที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกองหิมะสีขาว นี่ไม่ใช่เพียงศาลาธรรมดา แต่คือศาลาที่สร้างเพื่อครอบบ่อน้ำที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้ทรงมาทำการวารีบำบัด
มีชื่อว่า บ่อน้ำ โกนิกจุฬาลงกรณ์ (โกนิกในภาษาเยอรมันแปลว่า King)
ประวัติโดยคร่าวๆ ของศาลานี้คือ เมื่อสมัยที่พระองค์ท่านยังคงทรงงานอย่างหนัก ทำให้เกิดอาการประชวรอยู่บ่อยครั้ง หมอหลวงจึงแนะนำว่าหากอยากหายจากอาการประชวร ให้ทรงเสด็จไปประทับในที่ที่อากาศดี และในตอนนั้นคงมีเพียงประเทศในโซนยุโรปเท่านั้นที่จะมีอากาศที่ดีตลอดทั้งปี ท่านจึงเลือกมาที่ประเยอรมัน และเป็นการเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งที่สอง
ในครั้งนั้นพระองค์ท่านได้ทรงมาประทับอยู่ที่ยุโรปเป็นเวลา 7 เดือนด้วยกัน และได้อยู่ที่เมือง Bad Hamburg หนึ่งเดือนเต็มๆ เมื่อพระองค์ท่านมารักษาเพียงแค่สามสัปดาห์ อาการประชวรก็ค่อยๆ ดีขึ้น
และเมื่อพระองค์เสด็จกลับ ทางคิงไกรเซอวิลเลียมจึงรับสั่งให้สร้างศาลาถวายเอาไว้ แต่ก็ยังไม่ใช่จุดที่ท่านต้องการ บ่อที่ท่านต้องการจะอยู่ห่างออกไปอีก 500 เมตร แต่ในเวลานั้นมันเป็นป่ารกชัฏ ทางเยอรมันเห็นว่าอาจจะทำให้ศาลาไม่โดดเด่น จึงมาสร้างตรงนี้ไว้ก่อน และในอีก 100 ปีถัดมา คนไทยจึงได้สร้างบ่อที่สองเอาไว้ เพื่อให้ตรงตามพระราชประสงค์
ที่นี่จึงมีความเป็นมาและประวัติที่ผูกพันธ์กับชาติไทยเป็นอย่างมาก ด้วยตัวศาลาก็มีความสวยงาม ตั้งตระหง่านท่ามกลางสถาปัตยกรรมยุโรป หากใครมีเวลาสามารถขับรถออกมาจากแฟรงค์เฟิตเพื่อมาที่นี่
ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดีเลย
Bamburg
ถัดมาคือเมือง Bamburg จะอ่านว่าแบมเบิร์ก หรือ บัมแบร์ก ก็ได้ เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใน Upper Franconia ที่หลุดรอดจากระเบิด และได้รับรางวัลให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1993 อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์คือเป็นเมืองที่มีสะพานเยอะมาก เพราะมีแม่น้ำสองสายพาดผ่าน ทำให้ต้องเชื่อมตัวเมืองเข้าด้วยกัน ด้วยสะพานหลายสิบสะพาน
ตอนที่เรามา อากาศเย็นจัดถึงขีดสุด บวกกับลมและหิมะ ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนออกมาเดินมากนัก บรรยากาศโดยรวมจึงมีความสงบสูงมาก ด้วยตึกและอาคารมีความเก่าแก่ ทำให้เรานึกถึงหนังสมัยก่อนขึ้นมาเลยทีเดียว
อาคารสีเหลืองที่เห็นนี้ คือศาลาว่าการหลังเก่า เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษ์ของตัวเมืองก็ว่าได้ เพราะมันถูกสร้างขึ้นกลางสะพานและตั้งอยู่กลางแม่น้ำ ใครไปใครมาก็ต้องแวะเพื่อถ่ายภาพกับอาคารแห่งนี้ให้ได้
Bamberg Dom and Diocesan Museum
หนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อมากของเมืองก็คือ Bamberg Dom
เป็นอาสนวิหารขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบโรมานเนสก์และโกธิควิหารหลังนี้สร้างขึ้นในปี 1004 น่าเสียดายวันที่เราไปมีการจัดคอนเสิร์ตภายใน ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมชมและอีกอย่าง ด้านในก็ห้ามถ่ายภาพด้วยค่ะ
ด้วยความที่ที่นี่เป็นเมืองมรดกโลก ผู้คนจึงช่วยกันดูแลอาคารบ้านเรือนให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม แต่ยังคงความแข็งแรง แม่น้ำที่พาดผ่านทำให้ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ทำอาชีพหาปลา และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของที่นี่ก็คือเป็นที่ตั้งของโรงเบียร์ถึง 6 โรงด้วยกัน
Coburg
มาถึงเมือง Coburg ก็ได้เวลาค่ำพอดี วันนี้เราเข้าพักที่ Vienna House Easy โรงแรมที่เหมือนจะเป็นบ้านมากกว่า โรงแรมแห่งนี้มีความ Easy ตามชื่อจริงๆ เราได้รับบรรยากาศที่สบายตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าโรงแรม
ล็อบบี้ที่กว้างขวางแต่มีโซนตบแต่งที่น่ารัก มีเกมส์ให้เล่น มีต้นไม้สวยๆวางไว้ เพื่อให้เราหยิบขึ้นไปตบแต่งห้องพัก ขณะที่เข้าพักที่นี่ และถูกใจที่สุดก็คงเป็นตู้ส่งโปสการ์ด ที่เราเพียงแค่เขียน เค้าก็จะจัดการติดสแตมป์และส่งมาให้ถึงบ้าน ซึ่งตอนนี้เราก็ได้รับโปสการ์ดใบนั้นที่เราเขียนถึงตัวเองเรียบร้อยแล้วด้วย
ขึ้นมาบนห้องเรายังได้รับโปสการ์ดต้อนรับที่น่ารัก ตั้งใจเขียนเป็นชื่อของเราเองเลย บรรยากาศในห้องก็สบายกว้างขวางและอบอุ่นมาก ขนาดที่ว่าเรานอนคนเดียวยังไม่รู้สึกเคว้งคว้างเลย


Prince Alburg Square
อากาศตอนนี้ประมาณลบสอง ลมไม่มีแต่หนาวจับใจเลย และเราก็มาอยู่กันที่ย่าน Old town ที่เรียกว่า Prince Alburg Square ซึ่ง Prince Albert เป็นเจ้าชายของที่เมืองนี้ และได้ตกหลุมรักกับควีนของอังกฤษในงานเลี้ยง แล้วอีกหนึ่งปีต่อมาก็อภิเษกสมรสด้วยกัน
เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นฝาท่อเป็นรูปคน เลยได้ข้อมูลมาว่า คนที่อยู่บนฝาท่อและตามหัวเสาหรือจุดต่างๆ เค้าคือนักบุญชื่อว่า เซนมอริส คนผิวสีชาวแอฟริกัน ได้อุทิศตัวดูแลปกป้องเมืองแห่งนี้ เมื่อเค้าล่วงลับไปทุกคนในเมืองจึงร่วมกันสร้างอนุเสาวรีย์ให้เค้าโดยให้เค้าอยู่บนทุกพื้นที่ เสมือนให้เค้าคอยปกป้องเมืองแห่งนี้ตลอดไป