” Take me out tonight
Where there’s music and there’s people
And they’re young and alive
Driving in your car
I never never want to go home
Because I haven’t got one
Anymore”— The Smith
ONE — TWO DAY
เพลงโปรดจากวงเดอะสมิธของเราดังขึ้น ขณะที่เรานั่งอยู่บนรถ Mercedes-Benz CLA สีเทาคันเก่ง เราและเพื่อนพาช่วยกันคิดอยู่นานสองนานว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะไปไหนกันดี นี่อาจเป็นคำถามยอดฮิตของหลายคน แต่ในเมื่อกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เมืองเล็กๆ และเราก็อยากออกไปข้างนอก อยากหาอะไรทำที่มันขับเคลื่อนแรงบันดาลใจของเราสะหน่อย
เมื่อทุกคนเห็นตรงกันเราจึงได้บทสรุปว่า จุดหมายในเสาร์อาทิตย์นี้เราจะไปอยู่ที่ร้านหนังสือ ร้านแผ่นเสียง Gallery และ Museum จริงๆ มีหลายที่ที่เราชอบไปขลุกตัวอยู่ เรียกได้ว่าอยู่ได้เป็นหลายชั่วโมงก็ไม่เบื่อเลย ลองมาดูกันว่ากรุงเทพฯ จะมีร้านหนังสือและร้านแผ่นเสียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันบ้าง
—PLACE TO GO—


แต่ก่อนออกเดินทางเราเลยขอจัดระเบียบสัมภาระ และกระเป๋าก่อน โดยยานพาหนะของเราในวันนี้ คือ Mercedes-Benz CLA จาก Benz Suanluang Autohaus เป็นครั้งแรกที่ได้มาทดลองขับ เราประทับใจกับรถคันนี้มาก พอเห็นจากภายนอกก็รู้สึกตกหลุมรักทันที เพราะดีไซน์ที่สวยงาม และด้านในก็ตกแต่งได้เข้ากันมากๆ ดูสปอร์ตแต่ไม่ดูแข็งกระด้าง ตัวฟังชั่นต่างๆ ก็ออกแบบมาได้ดี ถ้าเป็นคนที่ขับรถเป็นประจำจะรู้ได้ทันทีเลยว่าทุกการขับเคลื่อนมันนุ่มนวลมากจริงๆ เหมาะกับขับในเมือง ทำให้รู้สึกว่ายิ่งพอเป็นผู้หญิงขับแล้วดูเหมาะ เข้ากันได้ดีทีเดียวเลย
เมื่อจัดของเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันวันแรกจะใช้เวลาอยู่แถวๆ โซนเอกมัย ทองหล่อ
สุขุมวิท และถนนเพชรบุรี เราเปิดเพลงและ Sunroof ข้างบน แดดอ่อนๆ ส่องลงมาสักหน่อย
รายชื่อเพลงของเราจะ Link ผ่านระบบ Bluetooth ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อกันแล้ว
เวลาเราจอดรถแล้วกลับขึ้นมาใหม่ระบบจะเชื่อมกันโดยอัตโนมัตให้ทันที
เพลงที่เราฟังค้างก็จะเล่นต่อด้วย แถมเวลามีคนโทรเข้าหรือเราจะโทรออกก็สั่งงาน
กดรับสายได้ผ่านพวงมาลัยได้ด้วย สะดวกและถือว่าดีมากขณะเราขับ
เพราะไม่ต้องมัวเอามือมาควานหาโทรศัพท์เลย
” When I had this crazy dream
Of waking up
In your house
On a san francisco street
We tune out all the nasty weather
And it’s all in front of you and me “— San Francisco Street
HOW TO TRAVLE IN TIME : READ
” แน่นอนก่อนที่โลกจะมีอินเตอร์เน็ตนั้น
มนุษย์เราเดินทางผ่านเวลาด้วยหนังสือมาก่อน
ตัวเราเองยังคงหลงใหลตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษอยู่
อาจด้วยมันมีให้เห็นอยู่ตรงหน้า จับต้องได้
และมันจะไม่หายไปหากเราไม่มีไวไฟ “
DASA BOOKS ; Sukhumvit
ร้านหนังสือมือสอง ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ระหว่างซอย 26 และ 28 ด้านหน้าร้านจะวางกองหนังเก่าในราคาย่อมเยาเผื่อให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้เลือกได้หยิบดู เมื่อเข้ามาด้านในจะได้กลิ่นหนังสือเก่าที่เราชอบอบอวลไปหมด ผู้คนที่แวะมาประจำมีทั้งคนไทย ชาวต่างชาติ
และเหล่านักท่องเที่ยว ที่ร้านจะทั้งหมดมีสามชั้น ที่นี่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย และจะเป็นหนังสือภาษาต่างประเทศ ตั้งแต่นิยาย สอนทำอาหาร หนังสือศิลปะ ดีไซน์ ไปจนถึงหนังสือนิทานเด็ก

เราจมอยู่ที่ชั้นสองนานที่สุด สนุกไปกับการรื้อหนังสือภาพประกอบ และหนังสือเกี่ยวกับดีไซน์สนุกมือมาก เราได้ติดมือมาประมาณ สองสามเล่ม แต่ที่ดีใจที่สุดจนถึงตอนนี้คือได้หนังสือภาพประกอบเกี่ยวกับเจ้าชายน้อยกลับมาด้วย
นอกจากหนังสือที่นี่เองก็มีแผ่นซีดีมือสองขายด้วย เราชอบที่นี่มากๆ อยากกลับไปอีกโดยเร็ว
ยก Dasa Books เป็นอีกหนึ่งร้านหนังสือดีๆ ที่อยากไปบ่อยๆ
HANDCOVER, THE ART BOOK SHOP ; BACC
ร้านหนังสือที่รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับศิลปะแขนงต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ Fine Art / Design / ประวัติศาสตร์ศิลป์ ภาพถ่าย / ท่องเที่ยว และหนังสือเด็ก ร้านตั้งอยู่ในหอศิลป์วัฒนธรรมกรุงเทพ (BACC) พอดีกับที่เราแวะไปดูงาน PHOTO BANGKOK 2018 จึงไม่พลาดที่จะเดินเข้าร้านหนังสือด้วยเลย
มีหนังสือดีๆ ให้น่าเก็บสะสมเต็มไปหมด ในหมู่คนที่ทำงานออกแบบเราว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ดีทีเดียว และที่นี่ยังมี Stationery น่ารักๆ อีกด้วย และพี่หน้าร้านบอกว่า HANDCOVER, THE ART BOOK SHOP นั้นมีสองสาขาที่ BACC และ ที่ Central Embassy
BOOK ZOMBIE ; RCA
ร้านหนังสือเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในท่ามกลางความวุ่นวานของย่าน RCA เรามาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาเย็นค่ำแล้ว แสงร่ำไรของพระอาทิตย์ค่อยๆ จางลงไป หลอดไฟสีส้มถูกเปิดขึ้นมาทำหน้าที่แทน บรรยากาศอุ่นๆ ชวนให้เราหลงรัก

― Marcus Tullius Cicero
ภายในร้านเต็มไปด้วยหนังสือไทยและเทศ วางเรียงรายอยู่ทั่วร้าน ไม่ว่าจะเดินหรือขยับตัวไปทางไหนก็จะเจอแต่หนังสือ เราค่อยๆ เดินละเมียดดูไปตามแต่ละตู้แต่ละชั้น หยิบเล่มนู้นเล่มนี่ขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไปจบลงที่หนังสือนิทานมือสอง ที่เราคิดว่าภาพประกอบมันน่ารักดี
VINYL SOTRE
HOW TO ESCAPE TIME : MUSIC
” ดนตรีเป็นอีกภาษาของจิตวิญญาณมนุษย์ เมื่อคำพูดไม่สามารถถ่ายทอดได้
เช่นเดียวกับหนังสือ แผ่นเสียงยังคงเต็มไปเสน่ห์ที่เราหลงรัก
เสียงกระทบแรกของเข็มที่วางลงบนแผ่น มันเป็นอะไรที่ยิ่งทำให้เพลงเพราะขึ้นมากๆ สำหรับเรา
และในตอนเช้าหลังจากตื่นนอน หรือวันที่ฝนตก
ปฎิเสธได้ยากจริงๆ ว่าเสียงเพลงที่เล่นจากแผ่นเสียงนี่มันช่างจำเป็นจริงๆ “
ZudRangMa Records ; Sukhumvit 51
ร้าน Vinly ขนาดกะทัดรัดในซอย สุขุมวิท 51 ติดกับ WTF Gallery
สุดแรงม้าเป็นร้านแผ่นเสียงที่รวบรวมเพลงแนวหมอลำ / ลูกทุ่ง / Funk / Jazz / Soul และอีกมากมายจบเราจำได้ไม่หมด

― Bob Marley
และโดยส่วนมากจะเป็นแผ่นเก่าเก็บ บรรยากาศสบายๆ ร้านถูกตกแต่งไว้ด้วยชั้นและตู้ไม้เพื่อให้เก็บแผ่นเสียงที่มีหลายร้อยแผ่น ที่นี่เราสามารถเลือกแผ่นเสียงที่ถูกใจไปทดลองฟังก่อนได้ด้วย หรือชอบ อยากได้แนวเพลงแบบไหนแล้วเลือกไม่ได้ ก็ถามพี่ DJ MAFT SAI เจ้าของร้านได้เลย
8Musiqe ; 8 Thonglor
เราขับรถไม่กี่นาทีจากสุขุมวิท 51 ก็มาถึงตึก 8eight Thonglor ที่ตั้งของร้าน 8Musiqe ร้านซีดีและแผ่นเสียง ที่มีเพลงดีๆ จากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเพลงในกระแสหรือนอกกระแสอย่างเพลงอินดี้ก็มีหมด เราเจอแผ่นของศิลปินโปรดของเราหลายคนอย่าง Norah Jones / Al Green / The Smith / Rhye และอีกเยอะแยะไปหมด หากบางแผ่นที่เคยมีแต่ขายไปแล้ว เราสามารถสั่งจองไว้กับที่ร้านได้ รอประมาณ 2-3 อาทิตย์เท่านั้นเอง เสียดายที่วันที่เราเข้าไปไม่เจอพี่ป๋องเจ้าของร้าน แต่ก็ได้คุยกับพี่บอมผู้ช่วยแทน

―Maya
คุยกันสักพักพี่บอมก็บอกให้เลือกดูได้ตามสบายใจ สุดท้ายเราเลยได้ cd ของ The Smith ที่ตามหาติดมือออกมาด้วย ไม่รอช้าที่แกะฟังในรถทันที และหลังจากนั้นเราก็มีเสียงจาก The Smith ดังเป็นเพื่อนไปตลอดทาง
Bungkumhouse Records ; BLACK AMBER
ร้านแผ่นเสียงลึกลับที่ดีใจมากที่หาเจอ หลังจากร้านใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าที่ 8Musiqe เราเดินข้ามถนนทองหล่อมาอีกฝั่ง ระหว่างทองหล่อซอย 5 และ 7 ก็จะเจอตรอกด้านหน้าทางเข้าเล็กๆ เดินเข้าไปไม่ถึงสิบก้าวจะเจอตึกสะดุดตาอยู่ขวามือ ตึกแถวธรรมดาถูกแปลงหน้าตาให้มีเสน่ห์จนน่าเหลือเชื่อ บรรยากาศย้อนยุคแบบต้นศตวรรษ 20 ของร้าน BLACK AMBER BARBER SHOP เก้าอี้ตัดผมที่บุด้วยหนังสีน้ำตาล หินอ่อนบนเคาน์เตอร์ไม้ ทุกอย่างถูกจัดวางได้ลงตัว ร้านแผ่นเสียงของเราตั้งอยู่ชั้น 4 ของตึกนี้

เราค่อยๆ เดินผ่านร้านตัดผมเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งถูกจัดไว้เป็น Jewelry workshop ชั้นที่สามนั้นเป็นคล้ายที่สอน Workshop ทำรองเท้า และเมื่อเดินทะลุขึ้นมาจนถึงชั้นที่ 4 เราก็ได้พบกับ Bungkumhouse Records ที่ตามหา ชั้นนี้เป็น Roof Top มีพื้นที่ส่วนที่เป็น Outdoor สำหรับนั่งพัก นั่งเล่นได้
ภายในร้านอัดแน่นไปด้วยแผ่นเสียงจากหลากหลายที่ หลายยุคสมัยทั้งแผ่นเก่า ใหม่ ไปถึงแผ่นเสียงหายากด้วย เราแอบเจอแผ่นของ Oasis อัลบั้มแรกที่นี่ด้วย เราชอบที่นี่มาก เรียกได้ว่าประทับใจไปหมดเลย อยากจะกลับไปอีกในเร็ววัน
MUSEUM & GALLERY
HOUSE OF LUCIE
หนึ่งในแกลเลอรีที่จัดแสดงภาพถ่ายของ Hossein Farmani นักสะสมงานศิลปะโดยเน้นที่ภาพถ่าย ที่หลบตัวอยู่ในย่านเอกมัย ทางเข้าเล็กๆ โดยด้านหน้าจะมีป้ายชื่อแกลเลอรีบอก จากชั้นแรกเมื่อเดินขึ้นมายังชั้นสอง เราจะเจอกับรูปภาพและรายชื่อของช่างภาพที่เคยส่งผลงานเข้าประกวด World Press Photo
เมื่อขึ้นมาชั้นสามก็จะเป็นโซนที่จัดแสดงงาน ผนังสีขาวและเทาเรียบๆ ช่วยทำภาพถ่ายที่ติดอยู่โดดเด่นออกมา ทำให้เราซึบซับความหมายของแต่ละรูปได้อย่างสบายตา ไม่อึดอัด
ช่วงที่เรามานั้นพอดีกับนิทรรศการ Spotlights on Reza: Our Human Family โดยนำเสนอภาพถ่าย Iconic ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปิน Reza Deghati
และนอกจากนี้ยังมีจัดแสดงภาพถ่ายดีๆ อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายจัดแสดงอยู่ด้วยเหมือนกัน แนะนำว่าใครว่างๆ ลองมากันดูนะ งาน Spotlights on Reza: Our Human Family ยังจัดจนถึงต้นเดือนกันยายนนี้
พิพิธภัณฑ์บ้านหมอหวาน
อาคารเก่าแก่สไตล์โคโลเนียล ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ย่านเสาชิงช้า ด้านหลังประตูรั้วเหล็กนั่น เราจะเห็นประตูไม้สลักสีเข้ม ประดับด้วยกระจกสีๆ ขนาบด้วยผนังกระจกด้านในคือชั้นวางของเหล่าโหลแก้วมากมายที่มีฉลากติดกำกับไว้หากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นเป็นชื่อยาตำรับโบราณแปลกตาทีเดียว
เมื่อก้าวเข้ามาในตัวบ้านกลิ่นยาสมุนไพรก็เตะจมูกเราเข้าทันที ด้านในยังมีอุปกรณ์เครื่องบดยาที่เป็นทองเหลือง แม่พิมพ์ยา และสมุนไพรไทยต่างๆ วางให้เห็นด้วย พี่ที่ดูแลที่นี่เล่าให้ฟังว่าบ้านหมอหวานมีอายุมากกว่าเก้าสิบปีแล้ว เป็นมรดกจากนายหวาน รอดม่วง นายแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 5
ตัวบ้านถูกสร้างขึ้นช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 6 ที่นี่เคยเป็นทั้งร้านขายยา และยังเป็นบ้านพักอาศัยของคนในครอบครัวด้วย ปัจจุบันที่นี่ยังคงมียาตำหรับดั้งเดิมขายแต่ก็ถูกลดทอนลงเหลือเพียงไม่กี่ตัว มียาหอมที่แต่ละสูตรจะแตกต่างกันไปเพื่อรักษาตามอาการ มียาอม และน้ำมันหอมใช้สำหรับดมหรือทา หลังจากได้คุยและรู้ที่มาของที่นี่พอสมควรแล้ว ก่อนกลับเราเลยเหมายาหอม ยาอม และน้ำมันหอมติดกลับบ้านมาฝากคุณแม่กันด้วย
The Museum of Floral Culture
เรามาหยุดรถอยู่ที่หน้าบ้านสีขาว สไตล์โคโลเนียล รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม เป็นบ้านที่ร่มรื่นและเย็นสบายมากทีเดียว เราเดินเข้าไปเพื่อสอบถามถึงการเข้าชมด้านในพิพิธภัณฑ์
เมื่อพี่ที่ต้อนรับเราบอกว่าเราจะได้เข้าชมรอบ 4 โมง และแนะนำให้สั่งขนมและน้ำมานั่งทานรอเวลา ด้วยความหิวนิดๆ เราจึงสั่งชุดขนมไทย และสโคนมาทานเล่นกัน ขนมถูกจัดใส่จานและตกแต่งมาอย่างสวยงาม ส่วนรสชาติก็อร่อยไม่แพ้หน้าตาเลย แค่พริบตาเดียว ขนมก็หายไปจากจานอย่างรวดเร็วจนต้องสั่งเพิ่มเป็นครั้งที่สองในทันที
เมื่อเวลายังคงเหลือเราจึงใช้เวลาเดินสำรวจรอบๆ บ้านหลังนี้ พื้นหินทางเดินถูกปกคลุมไปด้วยต้นมอส จนเหมือนพรมสีเขียว ต้นไม้ และเฟิร์นถูกประดับขนาบไปกับทางเดินแซมด้วยพวงมาลัยดอกรักที่รอยไว้อยู่เหนือหัวของเรา เมื่อเดินเล่นจนรอบก็ถึงเวลาเข้าชมด้านในของพิพิธภัณฑ์พอดี

―Winston S. Churchill
ที่นี่บอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาตั้งแต่สมัยแรกของศิลปะการจัดดอกไม้ ทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศทางฝั่งยุโรป แต่ละหัวข้อจะถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ ตลอดเวลาจะมีไกด์คอยเดินนำ ให้ความรู้และเล่าความเป็นมาต่างๆ ให้เราฟัง โดยปกติแล้วด้านในพิพิธภัณฑ์จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่เราทำเรื่องแจ้งและขออนุญาตล่วงหน้าไว้ จึงสามารถเก็บภาพมาได้เล็กน้อย และเป็นเพียงบางห้องเท่านั้น ถือว่าสนุกและได้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมอีกเยอะเลยเหมือนกัน
BANGKOK ART & CULTURE CENTRE (BACC)
หลายคนคงรู้จักหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ กันดีอยู่แล้ว ที่หอศิลป์นี้จะมีนิทรรศการ งานแสดงต่างๆ คอยหมุนเวียนมาจัดแสดงอยู่เรื่อยๆ ตอนที่เราไปมีจัดงาน PHOTO BANGKOK 2018 ซึ่งรวมผลงานภาพถ่ายร่วมสมัยจากศิลปินไทยและต่างชาติ เรามองเห็นการทำงานกับภาพถ่ายในรูปแบบต่างๆ มาจากหลากหลายมุมมอง และหลากหลายวิธี ทำให้เรามองมิติ และความเป็นไปได้ของการถ่ายภาพให้เราเห็นมากขึ้นกว่าก่อน เราเดินวนอยู่ในนิทรรศการมากกว่าหนึ่งรอบ เพื่อเก็บรายละเอียดจากผลงานที่เราประทับใจ ต่อยอดมาเป็นแรงบันดาลใจได้ดีมากเลย งานมีจัดจนถึงวันที่ 9 กันยายนนี้ หากมีเวลาเราแนะนำให้รีบไปชมกันนะ ก่อนที่นิทรรศการจะจบลง

―John Mellencamp
เรามองนาฬิกาเป็นเวลาหัวค่ำแล้ว เราขับรถออกจากหอศิลป์และมุ่งหน้ายังไปร้านอาหารร้านโปรด ในสองวันมานี้เรียกว่าการขับรถเที่ยวในกรุงเทพฯ ที่คุ้มค่าและสนุกทีเดียว แม้รถจะติดไปบ้าง แต่ก็ไม่เบื่อที่ได้ใช้เวลาอยู่บนรถคันนี้ เปิดเพลงไปด้วยผลัดกันบอกทางไปด้วย พอมีเพื่อนอยู่ด้วยการจราจรมันก็ไม่น่าหงุดหงิดอีกเลย เราหัวเราะ แหย่กันตลอดสองวัน ไว้มีเวลาจะไปเที่ยวกันแบบนี้อีกนะ
With Love,
From Mars
และถ้าหากใครสนใจอยากทดลองขับบ้าง สามารถแวะมาได้ที่ โชว์รูม สวนหลวง ออโต้เฮ้าส์ หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Benz Suanluang อยู่บนถนนศรีนครินทร์
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร 023225999 หรือที่ Line @benzsuanluang ตามนี้เลย