France, Switzerland
บันทึกการเดินทางจากฝรั่งเศสถึงสวิสเซอแลนด์
เดือนกันยายนของปีนี้เริ่มต้นขึ้น พร้อมๆ กับการเดินทางครั้งใหม่ที่เราหวังว่ามันจะเป็นการพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มต้นใช้ชีวิตที่ลอนดอนอย่างจริงจังในอีกสามเดือน
ฝรั่งเศสคือประเทศแรกที่เรานึกถึง และอีกที่ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก คือประเทศสวิสเซอแลนด์
ในทริปครั้งนี้การเตรียมตัวของน้อยกว่าครั้งอื่นมากนัก เพราะเราตั้งใจแค่มาพักผ่อนจริงๆ
และอยากมาเพื่อสัมผัสดูเองสักครั้ง อย่างที่ใครหลายว่าไว้ว่านี่เป็นประเทศที่ผู้คนมีความสุขมากที่สุดในโลก
rise and look around you
and you will see who you are
On a clear day
How it will astound you
That the glow of your being
Outshines every star

Day1
Paris – Dijon
คนเราตามหาแรงบันดาลใจได้จากที่ไหนกัน บางทีก็จากการอ่านหนังสือ หรือออกไปพบมันด้วยตัวเองก็มี เราเชื่อว่าแม้เราจะได้เห็น ได้ดูภาพเหล่านั้นจากสื่อต่างๆ หรือสารคดีมากมายแค่ไหน แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยพอได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง เหมือนกับเราที่แม้จะได้ยินเรื่องราวของปารีสมานักต่อนัก แต่เมื่อได้มาเยือนเองจริงๆ การที่ได้มาสัมผัสด้วยตัวของตัวเองมันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เช้าวันนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นจากคาเฟ่เล็กๆ กลางเมืองปารีส เราเลือกที่จะเดินไปทานอาหารเช้าดูบรรยากาศการเริ่มต้นวันใหม่ของผู้คนที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการอาบน้ำ แต่งตัว อากาศค่อนข้างสบายๆ มีแดดแต่ก็ไม่ถึงกับร้อนมาก ทำให้เราเลือกเสื้อยืดและหมวกของแบรนด์ Scotch & Soda
ที่มาของการออกแบบนั้นเราได้ยินมาว่ากว่าจะมาเป็นเสื้อผ้าแต่ละตัว ดีไซน์เนอร์จะออกเดินทางไปทั่วโลก ไปแต่ละเมือง เมื่อได้ไปเห็นความแตกต่างของแต่ละมุมโลกแล้ว ก็นำความประทับใจนั้นกลับมาสร้างสรรออกแบบเป็น Collection ที่แต่ละตัวก็จะมีความพิเศษที่ไม่เหมือนกัน
เราเริ่มต้นกันจากปารีส แวะไปเยี่ยมประตูชัยงดงามยิ่งใหญ่สมคำกับที่เค้าว่ากันสักหน่อย ก่อนที่จะตรงดิ่งลงสู่เมืองดีจย้ง และขับรถข้ามไปยังประเทศสวิสเซอแลนด์
Dijon หรือ ดีจย๊ง เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทางจากฝรั่งเศสไปสวิสเซอแลนด์ เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องมาสตาร์ดนะ เราเองก็ยังไม่รู้เลย จนโพสรูปไปบนเฟสบุคแล้วมีแต่คนฝากซื้อมาสตาร์ดนั้นแหละจึงได้เป็นความรู้ใหม่
จึงค้นหาร้านที่ขาย จากตรงที่เราอยู่ เดินไปสักพักถึงได้เจอกับร้านมาสตาร์ดชื่อดัง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
เมื่อเช้าอากาศยังเย็นๆ อยู่ ไม่ทันไรแดดก็จ้าสะแล้ว เราหยิบเอาหมวกที่พกมาด้วยเพื่อการนี้ออกมา ถอดเสื้อคลุมและเดินเล่นรับอากาศอุ่นๆ กลางเมืองดีจย๊ง วันนี้ฟ้าก็ช่างเป็นใจเอามากๆ สีฟ้าเข้มของท้องฟ้าโปร่งๆทำให้เมืองเล็กๆ ที่สงบแห่งนี้ดูสวยขึ้นไปอีก อย่างที่เราบอกด้วยความที่เป็นเมืองไม่ใหญ่ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเราก็เดินเกือบครบทุกจุด อาคารบ้านเรือนที่น่ารัก ราวกับหลุดมาจากนิยายยุโรปสมัยเก่า จะว่าไปเมืองเล็กๆ ของฝรั่งเศสมันช่างคุ้นตา เราคงเห็นมันได้บ่อยๆ จากหนังสือนิทานหรือไม่มันก็คงจะตรงกับภาพในจินตนาการของเรานั่นเอง
And a promise to be near each time you call,
And the only heart I own
For you and you alone,
And a hand to hold when leaves begin to fall,
And a love whose burning light”
Nat King Cole — That’s All
Day2
Lake Montreux
ทะเลสาปมองเท่อ เรามีโอกาสมาพักอยู่บนอพาร์ทเมนท์ที่ขึ้นชื่อว่าวิวดีที่สุดในโลก เพราะฝั่งตรงข้ามคือภูเขาอีเวียง ใช่แล้ว ภูเขาอีเวียงที่เราดื่มน้ำจากเค้าเป็นประจำ น้ำในทะเลสาปสะท้อนกับท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มราวกับมีคนมาเทสีน้ำเงินลงไปแล้วมันยังนอนก้นไม่ละลายไปไหน อากาศดี แดดออก จึงทำให้ผู้คนออกมาแล่นเรือเล่น ทำอาหารออกมาปิกนิคกัน
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เราหยิบเอาชุดจาก Scotch & Soda มาใส่ เสื้อและกางเกงเป็นลวดลายเดียวกันทั้งหมด ด้วยสีสันและ pattern ทำให้ลุคของเราดูเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศของเมืองริมทะเลมากๆ เลย
อากาศของวันนี้ดีเสียจนทำให้เราอยากออกไปล่องเรือเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองนี้ ค่าล่องเรือต่อคนก็ตกประมาณที่หกร้อยกว่าบาท นั่งได้ตั้งแต่ต้นสายจนสุดสายเลย แถมยังมีเครื่องดื่มและอาหารเบาๆ สำหรับรองท้องเผื่อหิวขายบนเรือด้วยนะ
Day 3
Yeoire
อีกเมืองน้อยๆ ที่อยู่ทางฝรั่งเศสแต่ติดกับอีวัวร์มากๆ จนไม่รู้ว่าอยู่เขตไหนกันแน่ เพราะที่นี่ผสมผสานความวัฒนธรรมของสองเมืองไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว คนที่นี่พูดได้ทั้งภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ ความคลาสสิคของตึกที่สร้างจากอิฐและหินแบบยุคเก่า แต่แทรกความน่ารักด้วยดอกไม้สีสดใส ต้นไม้เล็กๆ เลื่อยพันอยู่ตามประตูและกำแพง จึงไม่แปลกหากเมืองนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาถ่ายรูปคู่ด้วย อย่างไม่ขาดสาย
เสน่ห์อันชัดเจนของที่นี่ คือยังกลิ่นอายของความเป็นยุโรปแบบโบราณไว้ให้เห็นอยู่ บ้านเรือนถูกปลูกสร้างเหมือนทรงคอจเทจ ประดับประดาไปด้วยกระถางต้นไม้เล็กๆ สีสันน่ารักเต็มทั่วหมู่บ้าน แถมหลังหมู่บ้านยังติดกับทะเล ที่เราจะเห็นเรือจอดเทียบท่าเต็มไปหมด และจะเห็นทั้งนักท่องเที่ยว คู่รัก ผู้คนพื้นเมืองที่มาเยี่ยมเยียนเพื่อใช้วันหยุดร่วมกันในที่อากาศดีกับครอบครัวของตนเอง
Day 4
Jungfrau (จุงเฟร้า)
เมืองขึ้นชื่อของประเทศสวิสเซอแลนด์ เป็นเมืองที่ต้องแวะเพราะเป็นอีกสถานที่สำคัญที่คนต้องมาต่อคิวเล่นพาราชูส พร้อมกับต่อรถไฟขึ้นไปบนภูเขาที่ถูกขนานนามว่าสวยสะกดใจอีกแห่งหนึ่งของโลก
Tell me quando quando quando
We can share a love devine
Please don’t make me wait again
Tell me quando quando quando
You mean happiness to me
Oh my lover tell me when”
Michael Buble — Quando Quando Quando
เราเดินเล่นตามซอกซอยจนมาเจอกับกอดอกไม้สีส้ม สีเดียวกันกับกระโปรงที่ใส่มาวันนี้เลย
เดินผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ เราเลยนั่งขอถ่ายรูปด้วยซะหน่อย
Thun, Switzerland
เมืองทางผ่านที่เราตัดสินใจแวะเที่ยวสักหน่อย เพราะวิวสวยเสียจนอดใจไม่ได้ แม่น้ำสีฟ้าเขียวที่ตัดพาดผ่านตัวเมืองแบบเห็นได้ชัด หอคอยสีขาวสูงตัวหลังคาทำจากอิฐเก่าสีส้มเข้มเด่นเป็นสง่าตั้งอยู่กลางเมือง
ก่อนกลับเราแวะมาอีกเมืองนึงที่ชื่อว่า สไวแมน เมืองที่ชื่อแปลก และเงียบสงบมาก บรรยากาศเป็นสีฟ้าหม่นๆ ของช่วงใกล้ค่ำ หมู่บ้านที่ห้อมล้อมไปดูภูเขาและหมอกสีขาว แสงสีส้มจากไฟถนนค่อยๆ เริ่มเปิดขึ้นเผื่อให้แสงสว่าง อากาศเริ่มเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด ลมหนาวพัดมากระทบใบหน้าเราเป็นระยะๆ จนต้องกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น เราขับรถผ่านผ่านเมืองนี้ไปอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่ เพื่อซึมซับวิวข้างทางให้ได้มากที่สุด
และแล้วการเดินทางอันแสนสั้นตลอดสี่วันของมานี้ของเราก็จบลง ทิ้งไว้เพียงร่อยรอยของภาพอันสวยงามและน่าประทับใจ การได้พาตัวเองมาพักผ่อนในสถานที่ดีๆ อากาศดีๆ กระตือรือร้นจะตื่นตั้งแต่เช้า
มีความสุขกับการได้เลือกว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไรออกไปเที่ยวดี หัวใจและร่างกายเราฟื้นฟูจนเต็มที่
เตรียมพร้อมที่จะกลับมาเจอกับชีวิตจริงแล้ว
สำหรับการเดินทางครั้งนี้
ต้องขอขอบคุณ Scotch & Soda ที่ทำให้เรามีแต่ชุดสวยๆ ตลอดทั้งทริปนี้ 🙂
หากมีโอกาสเราคงได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง
Love,
From Mars