SCOTLAND
Edinburgh Glasgow & North Berwick
การเดินทางสั้นๆ ที่เปรียบเหมือนรางวัลชิ้นใหญ่ของเราสองคน
เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่ว่าอยากไปเที่ยวด้วยกัน เราทั้งคู่วางหมุดไว้ที่ประเทศอังกฤษ
โดยใช้เวลาคิดไม่นาน เพราะเป็นที่ที่เราทั้งสองคนเคยมาใช้ชีวิตอยู่ และก็ต่างหลงรักในสเน่ห์บางอย่างของที่นี่เหมือนกัน แล้วยิ่งเป็นโอกาสได้เที่ยวกับเพื่อนสนิท ใครบ้างจะไม่อยาก
แต่ครั้นจะอยู่แค่ที่เมืองหลวงอย่างเดียวก็คงจะล้นเกินไป พวกเราเลยจองตั๋วรถไฟเพื่อนั่งไปสกอตแลนด์ ดินแดนทางตอนเหนือของอังกฤษ ประเทศอันงดงามรายล้อมไปด้วยภูเขาอันกว้างใหญ่ ทะเลสาปและยังติดชายฝั่งทะเลอีกด้วย เราวางแผนใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน 4 คืน ไปกับสามเมืองคือ Edinburgh, Glasgow และ North Berwick
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้ามืด จัดอาหารเช้าและกลางวันที่เตรียมไว้สำหรับทานระหว่างทางใส่ลงในกระเป๋า มุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟที่สถานี King Cross เมื่อจัดการปริ้นท์ตั๋วเสร็จ ก็มายืนรอหน้าตารางเวลาที่จะคอยบอกว่าเราต้องขึ้น Platform ไหน ภาพที่ทุกคนต่างยืนจดจ่อไปบนจอภาพเพื่อรอว่าขบวนไหนที่จะต้องขึ้นเป็นภาพที่ชินตาเมื่อได้มาอยู่ลอนดอน ก่อนรถออก 15 นาที ชานชลาของเราก็ปรากฏบนหน้าจอ เราก้าวขึ้นรถไฟได้ทันเวลา เมื่อหาที่นั่งเจอก็เป็นเวลาที่รถไฟออกตัวจากลอนดอนและมุ่งสู่เมืองหลวงของสกอตแลนด์พอดี
เมื่อรถไฟจากลอนดอนหยุดที่สถานี Princes Stree เราเดินออกจากสถานีพร้อมมองหาถนน
ที่จะพาเราไปยังปราสาท Edinburgh Castle สถานที่ที่เราสองคนหมายใจจะได้มาเห็นกันอีกครั้ง เราทั้งคู่เคยมาที่นี่กันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ต่างคนต่างมาและคนละช่วงเวลา ซึ่งเวลาในตอนนั้นแทบไม่เพียงพอกับที่เราสองคนตั้งใจไว้ การกลับมาครั้งนี้จึงเหมือนเป็นความสมหวังเล็กๆ ของพวกเรา
If you miss the train I’m on
You will know that I am gone
You can hear the whistle blow
A hundred miles
A hundred miles
A hundred miles
A hundred miles
Edinburgh Castle,
Old Street
Edinburgh เปรียบเหมือนสถานที่แห่งมนต์สเน่ห์น่าค้นหา นอกจากความสวยงามทางธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างตามประวัติศาสตร์ ก็คือผู้คนที่ทำให้ทุกอย่างมีชีวิตชีวา คนที่นี่อบอุ่น ใจดีและจริงใจ คอยส่งยิ้ม เอ่ยปากทักทายกันเพียงแค่เดินผ่าน
ซ้ำเค้ายังจะกระตือรือร้นในช่วยเหลือเราเอามากๆ เมื่อเราร้องขอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการถามทาง หรือขึ้นรถเมย์แล้วต้องสถานีไหน ถ้ามันไม่ไกลก็ถึงกับเดินมาส่งเราจนถึงที่หมายเลย แม้เราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงสองวันแต่ความน่ารักเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราประทับอกประทับใจเหลือล้นแล้ว
หลังจากเก็บของและสัมภาระเรียบร้อย เราจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ครึ่งวันเดินเล่นรอบๆ ปราสาทและย่านเมืองเก่า ถ้าให้บรรยายบรรยากาศของที่นี่ว่าเป็นยังไง เราคงเลือกใช้คำว่าเป็นอะไรที่กลางๆ หมายถึงทุกอย่างดำเนินไปแบบสบายๆ ไม่ช้าเกินไปและไม่รีบจนเกินงาม
เดินจากป้ายรถเมย์ที่เราลงมาไม่นาน เราก็มองเห็นปราสาทที่ตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมือง Edinburghมันดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน หินก้อนสีน้ำตามถูกเรียงรายเป็นแนวกำแพง ทอดยาวไปถึงด้านบน บรรยากาศยังคงครุกรุ่นราวกับหลุดไปในนิยายในสมัยโบราณ ผู้คนเดินเล่นอย่างเนิบช้าและมีรอยยิ้มติดอยู่บนหน้าเสมอ
เราเลือกเดินอ้อมมาจากด้านหลัง ทำให้ผ่านสวนสาธารณะที่สวยงาม แต่ทางค่อนข้างลาดชันและลมแรงปราสาทแห่งนี้ยังได้รับการเลื่องลือว่าเป็นปราสาทเก่าที่งดงามมากที่สุดอีกที่หนึ่งอาจด้วยเพราะเป็นต้นแบบของ Hogwart School โรงเรียนพ่อมดแม่มดชื่อดังจากหนัง Harry Potter จึงทำให้เป็นปราสาทกลายเป็นที่นิยมและบวกกับความงดงามจนทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมอย่างมากมาย
เราเดินจนถึงตัวปราสาทแต่ก็ต้องเสียดายเมื่อมันถึงเวลาปิดเป็นทีเรียบร้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เราดูวิวจากด้านนอกก็สวยเพียงพอแล้ว ด้านหน้าปราสาทคือ Old Street ถนนสายหลักชื่อดังที่ใครหลายคนต้องมาเดินเพื่อสัมผัสบรรยากาศตลาดแบบในยุคโบราณ แม้วันนี้จะเปลี่ยนไปมากมายเพราะสิ่งของที่วางขายมักจะเป็นจำพวกของฝาก เราเดินแวะอยู่หลายร้านเพื่อเลือกโปสการ์ดใบที่สวยงามที่สุด โดยหวังว่าจะส่งกลับไปให้คนที่อยู่ที่ไทยได้รับรู้ว่าที่นี่สวยงามมากเพียงไหน และไม่ลืมที่จะซื้อ Shot Bread ที่ยังคงอร่อยเหมือนเดิมของที่นี่มากินเล่นไปด้วย
ระหว่างทาง สายตาเราสะดุดเข้ากับคุณลุงผู้ซึ่งนั่งขายภาพวาดสีน้ำอยู่ริมถนน วางเรียงรายอยู่ในกะบะไม้ทั้งภาพสีและขาวดำ ส่วนมากเป็นภาพทิวทัศน์ของเมือง Edinburgh แอบปะปนกับภาพดอกไม้นิดหน่อย รอยยิ้มเชื้อเชิญให้เราขยับๆ เข้าไปดูใกล้ๆ คุณลุงจะมีโต๊ะเล็กๆ ที่พกพาได้ไว้คอยนั่งวาดรูปพวกนี้ เราจึงช่วยอุดหนุนภาพเขียนมาสองใบและขอถ่ายรูปเก็บเอาไว้สักหน่อย
หลังจากเดินลงมาไม่กี่ช่วงตึก เราก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วๆ มาแต่ไกล ชายวัยกลางคนในชุดประจำชาติสกอตแลนด์ กำลังยืนเป่าปี่สกอตอยู่ ดนตรีที่ถูกเล่นออกมามันเข้ากันได้ดีมากๆ กับบรรยากาศห้าโมงเย็นกลางย่านเมืองเก่าแบบนี้ เรายืนฟังอยู่สักพัก และหย่อนเงินจำนวนหนึ่งเป็นน้ำใจเล็กๆ ให้กับคุณน้า สำหรับคนที่นี่ เมื่อเราเพลินเพลิดกับการแสดง หรืออยากถ่ายรูป การควักกระเป๋าหยิบออกมาสักเหรียญสองเหรียญนั้นถือเป็นมารยาทมากๆ มันไม่ได้มากมายแต่เป็นเหมือนกำลังใจน้อยๆให้กับคนอย่างคุณน้าคนนี้ เพราะอย่างน้อยความสามารถของพวกเค้าก็ช่วยเพิ่มสีสันและบรรยากาศให้น่าจรรโลงใจไม่น้อย
เราเดินเล่นออกตามตรอกซอยต่างๆ ที่พาเราไปโผล่หน้าร้านนั่นทีนี่ที แวะซื้อสแตมป์ เดินกินขนม
ส่งโปสการ์ดใบแรกจาก Edinburgh ถ่ายรูป เล่นกับหมาคนอื่น ฮ่าๆ
จนเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเราเลยตัดสินใจหาร้านนั่งพักและทานมื้อเย็นกันในย่านเมืองเก่ากันนี่แหละ ร้านอาหารมีให้เลือกมากมายเรียงรายกันเต็มไปหมด และสำหรับพวกเรานั้นเลือกจากการสุ่มเดาล้วนๆ ร้านแรกของเราคือ THE MITRE ร้านอาหารกึ่งบาร์สไตล์ไอริช เราสั่งคนละอย่าง ที่ portion ไม่ใหญ่มาก เผื่อเอาไว้ว่าจะได้ลองแวะหลายๆ ร้านดู
ผู้คนถทยอยเดินเข้ามาในร้านกันอย่างต่อเนื่อง สั่งอาหารที่บาร์เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะพร้อมเครื่องดื่มคนละแก้วหลายคนมาเป็นคู่ มากับเพื่อน บางคนมาคนเดียวและได้เพื่อนใหม่กลับไปจากที่นี่เราเดินออกจากร้านเพื่อขึ้นรถเมย์กลับที่พัก พร้อมกับวันแรกที่ Edinburgh ของพวกเราจบลงแบบสวยงาม
Royal Botanic Garden Edinburgh
สวนพฤษศาสตร์ในเมือง Edinburgh หลายคนคงได้ยินชื่อเสียงของความสวยงามของปราสาทในเมือง Edinburgh แต่ว่าจากตัวปราสาทแล้ว ยังมีอีกสถานที่ที่สวยไม่แพ้กัน และเราอยากแนะนำให้มาหากใครมีโอกาสได้มาที่นี่
Royal Botanic Garden คือสวนขนาดใหญ่ ที่ไว้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้เพื่อหาความรู้เกี่ยวกับพืชนานาพันธุ์ก็ได้ เมื่อก้าวเข้ามาเราก็จะเจอกับต้นไม้น้อยใหญ่ บางก็รูปทรงแปลกตาเต็มไปหมด เรารู้สึกได้ถึงความร่มรื่นและอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ก็ช่วยให้เราผ่อนคลายมากทีเดียว
เข้าสู่ช่วง Spring แล้วเหล่าดอก daffodil พร้อมใจกันบานอวดโฉมก่อนใครเพื่อนเลย
ที่สวนนี้คนไม่ได้พลุกพล่านมากนัก เราเจอเพียงคุณลุง คุณป้าที่มาเดินเล่นให้อาหารกระรอก
และคู่รักไม่กี่คู่เท่านั้น
เราเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็เจอกับเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่ไว้เป็นแหล่งเพาะปลูกต้นกล้า พืชและไม้ดอกมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่พืชเขตหนาว ร้อนชื้น หรือทะเลทราย โครงสร้างของที่นี่สวยมากจนเราตกหลุมรักเข้าแต่แรกเห็นเลย
ซึ่งภายในเรือนกระจกแบ่งออกเป็นหลายโซน แบ่งออกตามอุณหภูมิห้องที่ทอดยาวออกไปอีกหลายห้องแยกออกไปอีกประมาณ 6 – 7 โซนด้วยกัน เราใช้เวลากันอย่างละเมียด ค่อยๆ เดินเวียนผ่านแต่ละห้อง เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนหน้าตาของพืชพันธุ์ก็เปลี่ยนตามกันไป มีหลายต้นจากเขตบ้านเราที่เห็นกันคุ้นเคยด้วย
จากสวนป่าดิบชื้นกลายเป็นสวนกระบองเพชรที่แห้งแล้ง ทั้งหมดเป็นการจัดการพื้นที่ของสวนแห่งนี้ได้ดีและสวยงามไปด้วย เรามองดูเวลาก็เกือบเป็นเวลาที่เรือนกระจกใกล้จะปิดลง จึงก้าวออกจากเรือนกระจกอันแสนอบอ้าวมาเจออากาศที่มีอุณภูมิ 8 องศาด้านนอก ที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นไม่เบา
เรายังคงหันหลังไปถ่ายรูปเรือนกระจกเรือนนั้น พร้อมกับเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อได้พบกับสวนอีกแห่งหนึ่งแต่ดูท่าทีแล้วว่าจะต้องเดินอีกไกล เราสองคนจึงตัดสินใจหาทางกลับเข้าไปที่เมืองอีกรอบ
และของแถมระหว่างทางคือความน่ารักจาก Pete และ Pablo พวกเรากำลังเดินผ่านสวนเล็กๆ แห่งหนึ่งและเหลือบไปเห็นหมาพันธุ์ French Bulldog ที่กำลังคาบท่อนไม้
ขนาดใหญ่กว่าตัวถึงสามเท่า เรายืนหัวเราะในความน่าเอ็นดูของเจ้าหมาพร้อมกับเชียร์ให้คาบไม้ให้ได้ จน Pete เจ้าของที่ยืนอยู่กวักมือเรียกพวกเราให้เข้าไปเล่นใกล้ๆ ได้ เราพุ่งตัวไปโดยไม่คิดเลย Pete แนะนำเจ้าหมาพลังเยอะว่าชื่อ Pablo และจากนั้นก็เกิดเป็นบทสนทนาสั้นๆ ขึ้น Pete ชอบถ่ายรูปเหมือนกัน เค้าเคยมาเมืองไทยเมื่อหลายมาแล้ว และชอบอาหารไทยเอามากๆ เราจึงชวนเค้ากลับไปอีก เมื่อถึงเวลาบอกลาเพื่อให้ Pete และ Pablo ได้เล่นสนุกกันต่อเราเลยขอถ่ายรูปพวกเค้าเก็บไว้ 🙂
เราเดินเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แถวในเมืองกันอีกสักพัก ของฝากเล็กๆ ที่เราบังเอิญเดินไปเจอระหว่างทางอีกครั้งคือร้านขายเครื่องเขียน และบรรยากาศที่เราหลงรักของ Edinburgh
ก่อนจบวันสุดท้ายที่ Edinburgh ลงไปด้วยความสุขอย่างเต็มเปี่ยม ครั้งนี้เราได้ทั้งอิ่มเอมใจ ภาพสวยและเพื่อนใหม่เล็กๆ ติดกลับมาซึ่งมันคงทำให้เราคงได้คิดถึงที่นี่บ่อยๆ และยังหวังว่าจะได้กลับมา Edinburgh อีกในฤดูกาลอื่น
North Berwick
เมืองเล็กๆ อันแสนสงบ ติดชายทะเลของประเทศสกอตแลนด์
เราก้าวลงจากรถไฟ โดยไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนก่อนดี เราเลยตัดสินใจเดินลงไปตามตรอกที่ทอดยาวไปข้างหน้า เมื่อพ้นเนินเล็กๆ ภาพชายหาด และทะเลก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าเรา สนามหญ้ากว้างๆ ขนาบไปกับริมฝั่งมีเก้าอี้ และม้านั่งวางกระจายเพื่อให้ผู้คนมานั่งเล่น และพักผ่อนหย่อนใจ เรามาถึงเป็นเวลาใกล้เที่ยงคนที่นี่ต่างพาน้องหมาออกมาเดินเล่นริมทะเลกัน เรานั่งมองเจ้าหมาวิ่งไล่ลูกบอล สู้กับลมทะเลอย่างสนุกสนาน
There’s gold in them hills
There’s gold in them hills
So don’t lose heart
Give the day a chance to start
เรานั่งกันอยู่ได้เพียงครู่เดียวเราก็ย้ายตัวกันไปหาอาหารกลางวันรองท้องสักหน่อย เพราะลมที่เย็นแรงขึ้นพัดมาไม่หยุดหย่อน เราเดินเข้ามาตามแนวช่วงตึก และก็สะดุดเข้าไปกับร้าน Tea at Tiffanys ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าร้านอื่นๆ นอกจากอาหารอร่อย ลุงเจ้าของร้านน่ารักและใจดี ชวนพวกเราคุยไม่หยุดว่าอะไรที่พาให้พวกเรามาเที่ยวที่นี่ได้ เพราะ North Berwick เป็นเมืองเล็กๆ ไร้ซึ่งความวุ่นวายใดๆ ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนนิยมเหมือนกับ Edinburgh หรือ Glasgow เราเลยบอกว่าเราตามมาจากรูปจากคนช่างภาพคนหนึ่งใน Instragam เป็นรูปท่าเรือของที่นี่ซึ่งพวกเราไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงไหน และเปิดให้คุณลุงดู ด้วยความโชคดีคุณลุงบอกว่าท่าเรือห่างจากร้านของเค้า ไปอีกแค่สองนาทีเท่านั้นเอง คุณลุงแนะนำเส้นทางให้เราลองไปเดินเล่น และให้เราฝากกระเป๋าไว้ที่ร้านได้ ซึ่งเป็นอะไรที่ประทับใจเราทั้งคู่มากๆ
เราเดินลัดถนนมาตามทางที่คุณลุงบอก บ้านเรือนสองข้างทางคุมโทนด้วยเฉดสีพาสเทลน่ารัก ตามประตูหน้าต่างจะแขวนโมบายเปลือกหอย หรือเชือกถักเป็นสมอเรือ
และไม่นานเราก็ได้เจอกับท่าเรือที่เราสองคนตามหา แต่วันนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ เพราะเราถ่ายรูปเดินเล่นได้ไม่นาน หยดน้ำเล็กๆ ก็ร่วงลงมา เรารีบก้าวเท้าเดินเพื่อกลับไปที่ร้าน แต่ฝนไม่มีท่าจะเบาลงซ้ำยังดูจะหนักขึ้น เราจึงเลี้ยวเข้าร้านหนังสือเก่าที่ใกล้ที่สุด และได้โปสการ์ดติดมือมาสองสามใบระหว่างรอฝนซา
กลุ่มเมฆฝนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เมืองอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นขึ้นจากเดิมนิดหน่อย หลังฝนหยุดตก กลับมาที่ร้าน Tea at Tiffanys เพื่อเอากระเป๋า และบอกลาคุณลุงเจ้าของร้าน ก่อนกลับเราจึงแนะนำว่าให้เค้าลองไปเที่ยวที่ประเทศไทยดูบ้าง คุณลุงตอบตกลง พร้อมยังเล่าว่าครั้งสุดท้ายที่ได้มาแถบเอเชียก็คือประเทศสิงคโปร์ เมื่อ 30 ปีที่แล้วทั้งยังเดินทางด้วยเรือเป็นเวลา 3 เดือน จำได้ว่าประทับใจมาก แต่คุณลุงบอกว่ามันค่อนข้างเลือนลางมากเพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่ พอเล่าจบความน่ารักคือคุณตาคุณยายที่นั่งดื่มชาในร้าน ก็นั่งขำไปตามเรื่องราว บ้างยังพูดแทรกขึ้นมาแบบเบาๆ เมื่อเราถามถึงที่เที่ยวของต่างๆใน Glasgow เมืองถัดไปของพวกเรา พอได้ยินแบบนั้นเลยพลอยทำให้เราได้รู้จักกับอีกหลายโต๊ะในร้านโดยปริยาย
และแน่นอนว่าซ้ายมือสุดของพวกเราคือลุงเจ้าของร้าน Tea at Tiffany ผู้แสนใจดี
และนี่คือรูปที่ระลึกของผู้คนที่น่ารักแห่งเมือง North Berwick ที่เราถ่ายเก็บไว้สำหรับดูเผื่อตอนคิดถึง
เราบอกลาทุกคนในร้าน และจากไปด้วยความดีใจที่ได้เลือกมาเมืองเล็กๆ นี้ สายฝนตกลงมาปรอยๆพัดกลิ่นไอทะเลมาให้เหมือนเป็นคำลาส่งท้ายก่อนพวกเราขึ้นรถไฟและมุ่งหน้าไปที่ Glasgow เมืองสุดท้ายของการเดินทางมา Scotland ของเราสองคน
Glasgow
เมืองสุดท้ายของเราสองคนในทริปสกอตแลนด์ครั้งนี้ Glasgow เป็นอีกเมืองที่เป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยว บรรยากาศของที่นี่แทบไม่ต่างกับ Edinbrugh เลย เพียงแค่คึกคักและมีสีสันกว่านิดหน่อยเท่านั้น
เราพักที่นี่ 2 คืน ใช้เวลาไปอย่างสุรุยสุร่าย ไม่มีแบบแผน มาถึงโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะไปที่ไหน ยังไงบ้าง กะมาถามทางเอาดาบหน้า และเราก็ได้คุณลุง Reception ผู้ใจดีของโรงแรมวางแผนแนะนำทุกอย่างเสร็จสรรพ คุณลุงแนะนำให้เราไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองชื่อดังอย่าง Kelvingrove Art Gallery and Museum และ Gallery of Modern Art: Glasgow แกลเลอรี่ที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย ไปจนถึงร้านอาหารแบบ Traditional แท้ๆ ประจำเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมให้ไปลองทาน
Kelvingrove Art Gallery and Museum
เราขึ้นรถเมย์จากที่พักมาเพียง 15 นาทีก็มาถึงที่ Kelvingrove Art Gallery and Museum
พิพิธภัณฑ์อันสวยงามแห่งนี้ น่าสนใจและโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั่งเดิมของชาว Glasgow ที่นี่มีทั้งส่วนที่จัดแสดงโบราณวัตถุ ของท้องถิ่นดั่งเดิมของสกอตแลนด์ตั้งแต่ยุคเก่า งานปฎิมากรรมชั้น ส่วน ของแกลเลอรี่ก็มีทั้ง งานปฎิมากรรม และภาพเขียนโดยส่วนมากจะเน้นแสดงผลงานของศิลปินท้องถิ่น ที่บอกเล่าเขียนถึงเรื่องราวของสกอตแลนด์ และที่นี่ไม่เก็บค่าเข้า มีเพียงแต่กล่องรับบริจาคตามกำลังของแต่ละคนที่มาเยี่ยมชมงาน

Vincent Street
ถนนเส้นยาว แหล่งช็อปปิ้งสายหลักใน Glasgow ที่จะเต็มไปด้วยผู้คนเดินควักไคว่กันไปมามากมาย
เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมร้านค้าของแบรนด์ต่างๆ รวมถึงร้านอาหารและตลาดด้วย พวกเราแค่
เดินผ่านถนนเส้นนี้เพื่อไปยัง Gallery of Modern Art : Glasgow ที่อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก
Gallery of Modern Art : Glasgow
แกลเลอรี่ที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย ด้านในมีหลายชั้นแบ่งงานออกตามยุคสมัยและเทคนิก และที่น่าสนใจก็คือแต่ละงานที่นำมาจากแสดงจะมี คำบรรยายจากนักวิจาร์ณศิลปะคอยเขียนแทรกอยู่ใกล้ๆ อารมณ์เป็นเหมือนไกด์คอยตีความให้เราอีกที และที่ชั้นล่างจะมีคาเฟ่เล็กๆ ที่อยู่ในห้องสมุดอีกด้วย
เช่นกันกับที่ Kelvingrove Museum เราไม่ต้องเสียค่าเข้าชม แต่สามารถช่วยบริจาคลงในกล่องที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้ได้
เมื่อดูงานเสร็จเราทั้งคู่ก็ไม่มีแพลนจะไปที่ไหนกันต่อ เลยคุยกันว่าจะตามหน้าร้านขายฟิล์ม เพราะที่เตรียมมาใกล้จะหมดกันแล้ว และตอนนั้นเองที่พาเราสองคนมาเจอกับ Jazz Pub ที่น่ารักที่สุดเท่าที่พวกเราเคยได้ไปมา ดนตรีแจ๊สลอดออกมาจากร้านเบาๆ ขณะที่เราสองคนกำลังเดินผ่านเพื่อไปยังร้านขายฟิล์ม เสียงของแซ็กโซโฟนแว่วมาสะกิดหูและความอยากรู้ของพวกเรา กระจกบานใหญ่ถูกปิดผ้าม่านบางๆ เอาไว้ทำให้เรามองไม่เห็นว่าข้างในเป็นยังไง เลยแอบไปส่องจากช่องหน้าต่างเล็กๆ เราเห็นภาพของวงดนตรีแจ๊สกำลังบรรเลงเพลงไปพร้อมกับคุณลุงคุณป้าที่กำลังจับมือเต้นรำกันตามจังหวะ เราสองคนมองหน้ากันโดยไม่ต้องพูดอะไรก็เป็นอันรู้กันว่าจะพลาดร้านนี้ไม่ได้แน่ๆ
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับชาย หญิงมากมายที่ดูแล้วอายุคงราวๆ เดียวกันกับพ่อแม่พวกอยู่ในชุดสูท
และเดรสสวยทุกคน จนเราเริ่มไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็น Private Party รึป่าว และความลังเลมันคงแสดงออกอย่างชัดบนสีหน้าของพวกเรา จนคนที่อยู่ข้างในมองเห็นพวกเค้ายิ้ม กวักมือเรียกพร้อมกับคำว่า Come in, come in! ลักษณะของที่นี่ไม่ได้ต่างจากบาร์ทั่วๆ ไปเลย แต่มันกลับอบอวลไปความอบอุ่น ทุกคนทักทายกันอย่างเป็นมิตร บางคนเหมือนนัดกันมาที่นี่เป็นประจำทุกวันเสาร์อยู่แล้ว
หลายคนทักทายและส่งยิ้มให้เราสองคน อารมณ์ว่าอย่าเกร็ง ตามสบายๆ
วงแจ๊สที่เราเห็นเมื่อกี้ลงจากเวทีไปพอดี เราเลยเดินไปสั่งเครื่องดื่มและนั่งรอเผื่อว่าจะมีวงอื่นขึ้นมาเล่นต่อ และไม่ทันไรก็มีคนมาสะกิดที่ข้างหลัง ชายวัยกลางคนในชุดสูทเข้ามาคุยกับเราสองคนพวกเราบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนมาที่นี่ และมิตรภาพก็เริ่มต้นที่ตรงนั้น คุณลุงบอกว่าเค้าเป็นคนฝรั่งเศส แต่ย้ายมาเล่นดนตรีที่ Glasgow ได้หลายปีมากแล้ว จากนั้นก็ถามไถว่าพวกเรามาจากที่ไหน เมื่อบอกว่ามาจากประเทศไทย เค้าพูดขึ้นมาทันทีว่า “I never been there but It’s a beautiful country” ใช่อย่างนั้น เราบอกว่าถ้ามีโอกาสเค้าควรไปสักครั้ง ที่ไทยเองก็มีผับแจ๊สดีๆ เยอะเหมือนกัน คุณลุงบอกว่าที่นี่เป็นอย่างนี้ทุกวันเสาร์ ทุกคนมานัดเจอกัน มาฟังเพลงดีๆ ออกไปเต้นรำ พร้อมถามพวกเราว่ารู้จัก Frank Sinatra กับ Michael Buble รึป่าว ซึ่งแน่นอนว่าเรารักเพลงของทั้งสองคนนี้มาก
คุณลุงบอกอีก 15 นาที เค้าจะเล่นแต่เพลงของสองคนนี้แหละ อยากลองออกไปเต้นดูด้วยไหม
เรายิ้มน้อยๆ เพราะทั้งคู่ไม่มีใครเต้นเป็นเลย แต่คุณลุงบอกอย่างมั่นใจว่าไม่ต้องห่วง เค้าจะสอนพวกเราเอง
และเมื่อเพลง Somewhere beyond the sea เล่นขึ้น เราสองคนก็ถูกเชิญให้ออกไปอยู่บนฟลอร์
เป็นครั้งแรกของเด็กสองคนที่ไม่เคยเต้นจริงจังมาก่อนในชีวิต แม้จะเก้ๆ กังๆ แต่ทุกคนก็พยายามบอกว่าพวกเราว่าเต้นสวยมาก เก่งมากๆ
เราทั้งคู่ออกไปโลดแล่นบนฟลอร์หลายต่อหลายเพลง เหล่าคุณลุงจะผลัดกันมาขอเราออกไปเป็นคู่เต้นด้วยลุงคนนึงที่เต้นคู่กับอีฟ เป็นชาวเยอรมันแต่เค้ายกให้อีฟเป็นลูกสาวคนโปรดหลังจากเพลงเล่นจบลงเราอิ่มเอมไปกับบรรยากาศและความน่ารักของผู้คนที่นี่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเปื้อนหน้าเราสองคนตลอดเวลา นี่ถือเป็นคืนสุดท้ายและเป็นคืนที่ดีสุดของเราสองคน พวกเราอยู่กันจนนักร้องลงจากเวที แม้จะไม่อยากบอกลาแต่ก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับที่พักแล้ว
พวกเราเดินไป say good night และขอบคุณทุกคนสำหรับคืนธรรมดาที่พิเศษนี้ และได้รอยยิ้มกับอ้อมกอดกลับมาเป็นคำบอกลาแทน
เราเดินกลับที่พักที่ซึ่งห่างจากผับเพียงไม่ถึง 2 นาที ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะอยู่ใกล้ขนาดนี้ เรามาถึงโรงแรมพร้อมกับเจอลุง reception คนเดิม
: Hi, How was your day?
Did you enjoy Glasgow?
เรายิ้มทั้งคู่พร้อมกับบอกว่า
We in love here…very much,
thank you for your recommend.
: your welcome, good night girls
good night 🙂 เราบอกราตรีสวัสดิ์ และเดินขึ้นลิฟท์ไป
คืนสุดท้ายของเราสองจบลงไปกับอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวน่ารักเล็กๆ น้อยๆ ที่เราได้เจอ กลับกลายเป็นว่าสำหรับที่นี่ไม่ใช่แค่บ้านเมือง หรือวิวที่สวยงาม แต่เป็นผู้คนที่ใจดี รอยยิ้มที่จริงใจ และความเป็นมิตรที่มีให้กันเอง แถมเผื่อแผ่มาถึงผู้ที่มาเยือนอย่างเราๆ ด้วย
จากนี้หากพูดถึงสกอตแลนด์ขึ้นมาเมื่อไหร่ ภาพที่วนเวียนในหัวของเราคงเป็นคนขับรถเมย์ที่แสนใจเย็นช่วยบอกทางเราอย่างละเอียดเพื่อให้เราไปถึงที่หมาย
Pete ผู้ซึ่งชอบถ่ายรูปและ Pablo เจ้าหมาพลังเยอะ
ชา chamomile อุ่นๆ กับแซนวิชทูน่าของร้าน Tea at Tiffany ที่มีเจ้าร้านของแสนใจดี และแก๊งลูกค้าประจำที่น่ารัก
ลุง Recaption โรงแรมที่เดินไปส่งเราถึงหน้า Tesco แถมคอยแนะนำที่เที่ยวให้เราสองคนในตอนเช้า และบอก good night เมื่อเรากลับมา
เหล่านักเต้น กับบทเพลงของ Frank Sinatra ของพวกเค้า ที่สอนพวกเราให้ได้ออกสเต็ปเป็นครั้งแรก
คิดว่าทุกอย่างจะยังชัดเจนในความทรงจำของเราสอง
ขอบคุณที่เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านเข้ามาและทำให้ได้คิดถึง
ถ้ามีโอากาสเราคงไม่รอช้าที่จะได้กลับไปเยือนที่นี่อีกครั้งแน่ๆ
และหวังว่าทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมอยู่ตรงนั้นมิตรภาพที่สวยงามจากผู้คนที่นั่น
เพลงของ Frank Sinatra ในผับแจ๊สร้านนั้น เพราะถ้าได้กลับไปอีกที เราคงรู้แล้วว่าจะต้องเต้นยังไง
ระหว่างนี้ก็ให้ความคิดถึงทำงานไปก่อนจนกว่าจะพบกันใหม่ 🙂